Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

 

 

บทปกรณ์ว่าด้วยตำราคลองฟ้า

ถ้าแลเห็นคลองฟ้า ผ่านแต่ทิศประจิมไปบูรพา - ท่านให้เกรงไฟจะไหม้ จะมีวิกลมาก ย่อมทุกข์ หาลาภมิได้ ให้เกรงอย่าไปอื่น จะมีกังวลมาก ได้ข้าวของย่อมมิดีแล ฯ

อนึ่งโสด ถ้าเห็นคลองฟ้า ผ่านแต่บูรพาไปประจิม - ท่านว่าจะได้หญิงสาวผู้ดี แลมีลาภเป็นอันดี มากนักแล ฯ

อนึ่งโสด ถ้าเห็นคลองฟ้า ผ่านมาแต่อุดรไปทักษิณ - ให้เกรงจะมีข้าศึก จะมีลาภหนอุดร ฯ

อนึ่งโสด ถ้าเห็นคลองฟ้า ผ่านมาแต่ทักษิณไปอุดร - ท่านว่าภายใน 5 เดือน จะมีลาภแก่เรา เพราะข้าศึก ฯ

อนึ่งโสด ถ้าเห็นคลองฟ้า ผ่านแต่อาคเนย์ไปพายัพ - ท่านว่าจะได้ข้าวของ พี่น้องจะมาสู่ตน จะมีชนะแก่ศัตรูทั้งหลาย ฯ

อนึ่งโสด ถ้าเห็นคลองฟ้า ผ่านมาแต่ทักษิณไปอาคเนย์ - ให้เกรงไฟจะไหม้ ฯ

อนึ่งโสด ถ้าเห็นคลองฟ้า ผ่านแต่อิสานไปหรดี - ท่านว่า จะมีลาภเพราะผู้อื่นแล ฯ

อนึ่งโสด ถ้าเห็นคลองฟ้า ผ่านมาแต่หรดีไปอิสาน - ให้เกรงข้าศึกจะมีอำนาจกว่าเรา อย่าสนเทห์เลย ฯ

อนึ่งโสด ถ้าเห็นคลองฟ้า ผ่านแต่อาคเนย์ไปพายัพ - ท่านว่าจะได้ข้าวของ พี่น้องจะมาสู่ตน จะมีชนะแก่ศัตรูทั้งหลาย ฯ

อธิบาย - สำหรับปกรณ์นี้ อันว่าด้วยเรื่องดาวหาง (คลองฟ้า) นั้นในตำราท่านได้อธิบายอุปเทห์ในการพิจารณาใช้อยู่ 2 ประการ กล่าวคือ ในประการแรก ในส่วนของบุคคล ท่านให้ใช้พิจารณาเป็นยามยาตรา ประกอบกับ ตำรา เมฆหมอก และตำราเมฆฉาย ในประการที่สอง ในเรื่องของบ้านเมืองนั้น ท่านให้พิจารณาประกอบกับตำราดาวคู่ (ดาวติดพระจันทร์) และตำราดาวออก (ดาวออกกลางวัน) และตำราเดือน และดาวหางโดยท่านหลวงพุทธราชศักดา ท่านได้เขียนว่า บ้านเมืองเป็นดังนี้ ก็ให้ทายดุจเดียวกันแล ฯ



สำหรับเรื่องลักษณาการแห่งดาวหาง นอกจากจะมีลักษณะเป็นธุมเกตุ ธุมเพลิง คลองฟ้า และลำภูกัน แล้ว โหรไทยโบราณ ท่านยังพิจารณาให้ความสำคัญแก่ดาวหางอีก 3 ประการกล่าวคือ

1. ดาวแสงศึก มีลักษณะเป็นเช่นเดียวกันกับธุมเพลิง คล้ายกับว่า มีดวงจันทร์ปรากฏให้เห็นหลายดวง ซึ่งจะให้ผลร้ายภัยพิบัติและภัยสงคราม เป็นเวลานาน ถึง 3 ปี ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อปี จ.ศ.1172 และปี จ.ศ.1192

2. ดาวธนูศึก หรืออินทนู จะมีสีเขียว หรือสีแดง จะทำให้ชนต่อชนทั้งปวงวิวาทต่อกันและเกิดโรคระบาด ภัยจะเกิดขึ้นภายใน 2 ปี ดังเช่นที่เกิดขึ้นในปี จ.ศ. 1189
3. ดาวหางสีแดง จะเกิดภัยสงครามและราษฏรจะได้ทุกข์ยาก ภัยจะเกิดขึ้นในเวลาปีกึ่ง

รวมลักษณะของดาวหางที่พิจารณามีอยู่ 7 ประการด้วนกัน ส่วนพวกอุกาบาตร ดาวตก ผีพุ่งใต้ และอื่นๆนั้น ก็มีพิจารณาในตำราอื่นๆแล้ว ซึ่งผู้เขียนจะขอหยิบยกขึ้นมาให้ฟัง ดังเช่น ตำราดูแผ่นดินไหว ตำราอาเพศ (เชิญพระเคราะห์) ตำรารุ้งกินน้ำ ตำราดาวตก ตำราเมฆหมอก ตำราเมฆฉาย ตำราฟ้าร้อง ตำราอสุนียบาต อธิไทโพธิบาทว์ ตำราดูดวงอาทิตย์ ตำราดูดาวเคียงจันทร์ และตำราว่าด้วยสรรพคราส (คราธ) และสูรย์จันทร์ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน

ผู้เขียนขอยืนยันว่า โหรไทยแต่โบราณท่านมีความละเอียดลออและแต่งปกรณ์โหรไว้เป็นจำนวนมาก เอาไว้อย่างเหมาะสมสำหรับการพิจารณากฏเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ในแต่ละเรื่องราว ที่เกิดขึ้น รวมทั้ง ยังได้หาวิธีทดสอบเกณฑ์นั้นออกเป็นหลายประการอีกด้วย เปรียบเสมือนกับวิธีรับประทานอาหารของฝรั่ง ซึ่งจะมีการจัดมีดช้อนส้อมและแก้วน้ำจำนวนมากเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ เมื่อจะรับประทานอาหารประเภทใด ซึ่งจะต้องใช้เครื่องมืออย่างใด เครื่องดื่มอย่างใด ก็จะต้องใช้ให้อย่างเหมาะสม มิฉะนั้น ก็จะถูกผู้คนตำหนิติเตียนเอาได้


ซึ่งแตกต่างจากหลักการที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งมักจะลากเอาบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เข้าไปหาผลของเรื่องคราส แล้วกลับมาอ้างว่าเป็นผลกระทบที่เกิดจากดาวหาง คล้ายๆกับไปอ้างว่า กระบือก็คือโค ฉันใดฉันนั้น นั่นแหล่ะ ผู้เขียนเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นอันตรายเสียยิ่งไปกว่า การยอมรับว่าตนไม่รู้ไม่เคยศึกษาเสียอีก เพราะผู้ที่ไม่รู้ก็ย่อมบันทึกปูมโหรมาหาสถิติได้ ดังเช่นที่ จาคอบุส แองจีลุส ได้จุดประกายการศึกษาเรื่องดาวหางให้แก่ยุโรปเป็นวิทยาการขึ้นมาในคริสต์ ศตวรรษที่ 15 (แต่ก่อนนั้น มีแต่เป็นบันทึกคล้ายปูมโหร ถึงลักษณะภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหลังจากมีดาวหางโดยไม่ได้อธิบายผลของการเกิด ดาวหางแต่อย่างใด) ผลงานอันเกิดจากการศึกษาเรื่องดาวหางที่ได้เริ่มมีตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 15 นั้น ได้แก่ คำพยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่อันลือลั่นของโหรยุโรปที่ได้จากการศึกษาดาวหางในปี ค.ศ.1577 โดยท่านโหราจารย์ ไทโช บราเฮ ได้ให้คำพยากรณ์ว่า “จะมีเจ้าชายเกิดในตอนเหนือของฟินแลนด์ จะทำความยับเยินแก่ประเทศเยอรมันนี และจะหายไปในปี 1632” ซึ่งเป็นคำพยากรณ์ดาวหางที่มีความแม่นยำอย่างน่าพิศวง ที่สามารถบ่งบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เป็นเวลา 55 ปี โดยเจ้าชาย กูสตาวัส อดอลฟัส ผู้เกิดในฟินแลนด์ ได้บุกรุกประเทศเยอรมันนีและทำสงคราม 30 ปี และก็เสด็จสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ.1632 ตรงตามคำพยากรณ์พอดี

ผู้เขียนได้มีโอกาสได้อ่านบันทึกและข้อเขียนของโหรอาวุโสหลายท่าน ดังเช่นท่าน ม.จ.เฉลิมศรีจันทรทัต จันทรทัต , ท่าน ร.ต.อ. เปี่ยม บุณยโชติ , ท่านอาจารย์เชย บัวก้านทอง , ท่านอาจารย์สำราญ สมุทวนิช , ท่านอาจารย์อั้น แก้วสนธิ , ท่านอาจารย์จำรัส ศิริ , ท่านอาจารย์ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ (จันทรพิมพ์) ฯลฯ ซึ่งท่านทั้งหลายที่กล่าวนามมานี้ ก็ล้วนแล้วแต่มีความรอบรู้อย่างแตกฉาน และมีความเข้าใจในเรื่องตำราดาวหางของไทยเป็นอย่างดี เป็นที่น่าเสียดายว่า บรรดาข้อมูลแห่งความรู้ต่างๆที่ท่านได้ค้นคว้ามานั้นมิได้รับการจัดพิมพ์เผย แพร่ จึงทำให้ความเข้าใจของคนรุ่นหลังไม่ต่อเนื่องและขาดความเข้าใจวิธีการศึกษา เรื่องดาวหางตามแนวทางโหราศาสตร์ของไทยไป


ในตอนต้น ผู้เขียนได้อธิบายถึงการพิจารณาดาวหางตามแนวทางของคัมภีร์พฤหัตของอินเดีย ว่า โหราจารย์ชาวอินเดียท่านได้จัดนักษัตรดาวฤกษ์ครองประจำเมืองต่างๆโดยเทียบ กับแว่นแคว้นต่างๆในประเทศอินเดียในสมัยนั้น โดยได้ยึดเอากรุงอุชเชนีเป็นหลัก และเมื่อมีดาวหางปรากฏขึ้นสัมพันธ์กับดาวนักษัตรใด ท่านก็ให้คำพยากรณ์ออกมาดังเช่น ท่านได้กำหนดไว้ดังนี้คือ

1. หมู่ดาวนักษัตร อัศวินี เทียบกับแคว้น อัศมะกะ
2. หมู่ดาวนักษัตร ภรณี เทียบกับแคว้น กิราตะ
3. หมู่ดาวนักษัตร กฤตติกา เทียบกับแคว้น กาลิงค์
4. หมู่ดาวนักษัตร โรหิณี เทียบกับแคว้น ศุระเสน
ฯลฯ

ก็ได้มีโศลกพยากรณ์ว่า

“อัศวินิยามัศมะกะมะ ภรณีษุ กิราตะปารระถิวัมมะ หันบาตุ
พหุลาสุ กลิงคะเศศัง โรหิณะยามะ ศูรเสนะปะติมัง”

อันหมายความว่า
เมื่อดาวหางสัมผัสกับหมู่ดาวอัศวินี ผู้นำของแคว้นชาวอัศวมะกะ จะต้องตาย
เมื่อดาวหางสัมผัสกับหมู่ดาวภรณี ผู้นำของแคว้นชาวกิราตะ จะต้องตาย
เมื่อดาวหางสัมผัสกับหมู่ดาวกฤตติกา ผู้นำของแคว้นชาวกาลิงค์ จะต้องตาย
เมื่อดาวหางสัมผัสกับหมู่ดาวโรหิณี ผู้นำของแคว้นชาวศุระเสน จะต้องตาย
ดังนี้เป็นต้น
ฯลฯ

สำหรับโหราศาสตร์ไทย ก็มีหลักการเช่นเดียวกัน โดยได้มีตำรากำหนดนักษัตรดาวฤกษ์ครองประจำเมืองเอาไว้เช่นกัน