การดำรงอยู่ของมนุษย์เป็นเพียงการกระทำซ้ำๆหรือการเกิดใหม่อันส่งผลมาจากการดำรงอยู่ในชาติครั้งก่อนๆ ของเรา หมุนเวียนกันไปอย่างไม่จบสิ้น การดำรงอยู่ในปัจจุบันของเรา ก็เป็นเพียงข้อต่อในห่วงโซ่แห่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือวัฏสงสาร ที่เชื่อมโยงเราในอดีตกับอนาคตเข้าด้วยกัน
ในการเกิดแต่ละภพชาติ เท่ากับว่าเราก็ได้ก้าวอีกไปหนึ่งก้าว หรือเดินไปทีละก้าวตามจุดประสงค์ของการสร้างสรรค์ของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มแรก ทั้งนี้ก็เพื่อบรรลุไปสู่เป้าหมายและความสมบูรณ์แบบของจิตวิญญาณ
จนกระทั่งเราได้บรรลุถึงสิ่งที่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ได้ผสมผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่อวกาศและจักรวาลถูกทำลาย แล้วก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าดวงดาวจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราหรือไม่ก็ตาม หรือเป็นเพียงดัชนีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันเป็นผลมาจากอิทธิพลของดวงดาว ซึ่งมนุษย์ทุกๆคนจักต้องเผชิญอย่างเท่าเทียมกัน และก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าโหราศาสตร์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่อยู่คาบเกี่ยวระหว่างวิทยาศาสตร์กับอภิปรัชญา
ต้นกำเนิดและประวัติศาสตร์ของโหราศาสตร์พระเวทและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
ความรู้สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัยผ่าน”ศรุติ”และ”สมฤติ” ผ่านการฟังและท่องจำโดยพัฒนาเป็นบทกลอน จุดสูงสุดของความรู้คือพระเวท ซึ่งความรู้อยู่ในรูปของ”ฤจะ”และ”สูกตะ” พระเวทจึงเป็นที่รู้กันในหมู่คุรุผู้รู้แจ้ง เพื่อผู้ศึกษาทั่วไปเข้าถึงเนื้อหาพระเวทได้ง่ายขึ้น จึงมีการประพันธ์อุปนิษัทและภาษยะ เพื่อเผยแพร่ความรู้นี้ให้กว้างขวางขึ้น พระมหาฤๅษีจึงได้พัฒนาคัมภีร์ปุราณะและรจนามหากาพย์อมตะอย่าง"รามายณะ"และ"มหาภารตะ"
**ศรุติ (श्रुति): มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤต "ศรุ" แปลว่า "ได้ยิน" ศรุติหมายถึงความรู้ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและถ่ายทอดโดยตรงต่อมหาฤๅษี (ผู้หยั่งรู้) และสืบทอดกันมาทางการท่องจำและมุขปาฐะ
**สมฤติ (स्मृति): มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤต "สมฤ" แปลว่า "จดจำ" สมฤติหมายถึงคัมภีร์ที่ยึดตามคำสอนของ “ศรุติ” แต่มนุษย์เป็นผู้จดจำ ตีความ และบันทึก
** ฤจะ (ऋच) หมายถึง มนตรา ซึ่งมักจะเป็นมนตราเดียวที่พบในคัมภีร์ทางศาสนาสันสกฤต คือ พระเวท เป็นคำที่ใช้เรียกแต่ละบทในฤคเวท
**สูกตะ (सूक्त) หมายถึง บทสวดหรือมนตราที่เป็นส่วนหนึ่งของฤคเวท ฤคเวทเป็นคัมภีร์พระเวทที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นหนึ่งในคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของวรรณกรรมอินเดียโบราณ ประกอบด้วยบทสวด (สูกตะ) 1,028 บท แบ่งออกเป็น 10 มณฑล (คัมภีร์)
**อุปนิษัท (उपनिषद्) อุปนิษัทคือชุดคัมภีร์พระเวทที่ถือเป็นรากฐานของปรัชญาเวทานตะ
** ภาษยะ (भाष्य) คือ "คำอธิบาย" หรือ "การขยายความ" ตำราหลักหรือตำรารองใดๆ ในคัมภีร์พระเวทหรือวรรณกรรมอินเดียยุคโบราณและอินเดียยุคกลาง
ประวัติศาสตร์ของโหราศาสตร์พระเวทสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ยุคสมัยดังต่อไปนี้:
1. ยุคพระเวท (23927 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 8350 ปีก่อนคริสตกาล)
2. ยุคปุราณะ (8350 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 3000 ปีก่อนคริสตกาล)
3. ยุคปะราศาระ (3000 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 57 ปีก่อนคริสตกาล)
4. ยุควราหะมีหิระ (57 ปีก่อนคริสตกาล ถึง ค.ศ. 1900)
5. ยุคครูอาจารย์ยุคใหม่ (ค.ศ. 1900 จนถึงปัจจุบัน)
*******************************
*เรียนโหราศาสตร์ภารตะ(โหรพระเวท)ฟรี ได้ที่นี่ ศึกษาจากบทเรียน อ่านได้ที่นี่ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/2016-09-26-02-29-18/219-astrology-lesson.html
*แหล่งรวมความรู้โหราศาสตร์ภารตะ อ่านได้ที่นี่ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/2016-09-26-02-29-18.html
*กดติดตาม เพื่ออ่านบทเรียนใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์ Napat Patrapongphaiboon (Astro Neemo)
*******************************
บริการของเรา
ดูฤกษ์ออกรถ ดูฤกษ์ยกเสาเอก ดูฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ดูฤกษ์เปิดกิจการใหม่ ดูฤกษ์จดทะเบียนบริษัท ดูฤกษ์แต่งงานพิธีไทย-ฤกษ์จดทะเบียนสมรส ดูฤกษ์เปลี่ยนชื่อ ดูฤกษ์ตั้งศาลพระภูมิ ดูฤกษ์เข้าทำงานใหม่ ดูฤกษ์ลาสิกขาบท ดูฤกษ์โกนผมไฟ ดูฤกษ์ผ่าคลอด ดูฤกษ์มงคลอื่นๆ
ดูฮวงจุ้ย-แก้ฮวงจุ้ย คำนวนดวงพิชัยสงคราม-เสริมดวง-แก้ดวง ดูดวงชะตาด้วยโหราศาสตร์พระเวท(โหรภารตะ)
กดติดตาม เพื่ออ่านบทความใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์
*******************************