หลักการสำคัญของโหราศาสตร์พระเวท โดยระบบและทฤษฎีแห่งการแปลความหมายของจักรวาลอันลึกซึ้งและสลับซับซ้อนนี้ ซึ่งก็คือขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งภูมิปัญญาอินเดียโบราณ ระบบนี้เรารู้จักกันในนามโหราศาสตร์พระเวทหรือ"ชโยติษศาสตร์" อันเป็นศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความเข้าใจอันลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตและสรรพสิ่ง หรือ เรียกว่า “ศาสตร์แห่งจักรวาล”
โดยมีหลักการที่เป็นรากฐานสำคัญของศาสตร์นี้ มีดังนี้
1.การกลับชาติมาเกิดและผลกรรม: แนวคิดเรื่องกรรม การเวียนว่ายตายเกิด หรือกฎแห่งกรรม ถือเป็นแก่นสำคัญของโหราศาสตร์พระเวท เชื่อกันว่าการกระทำของเราในอดีตชาติมีผลกระทบต่อชีวิตของเราในปัจจุบัน และตำแหน่งของดาวเคราะห์ ณ เวลาที่เราเกิด สะท้อนถึงวิบากกรรมของเราที่เราได้เคยสั่งสมไว้ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นผลดี(ศุภผล) หรือ ผลร้าย(บาปผล)ที่เราได้รับ ล้วนมีอิทธิพลต่อชีวิตเรา และช่วยนำทางให้เราไปสู่เส้นทางแห่งการเติบโต การเรียนรู้ และการวัฒนาการทางจิตวิญญาณ
2.ดวงชะตากำเนิด (ชนม กุณฑลิจักร): พื้นดวงชะตากำเนิดก็คือแผนที่กรรมที่ปรากฏบนฟากฟ้าถือเป็นจักรวาลของแต่ละบุคคล ซึ่งเปรียบเหมือนกับการถ่ายภาพนิ่ง ที่แสดงภาพทั้งหมดบนท้องฟ้าในขณะเวลาที่เจ้าชะตาถือกำเนิด หรือเวลาตกฟาก
โดยภาพนิ่งภาพนี้ก็คือภาพแผนภูมิของดวงชะตา หรือพื้นดวงชะตา ซึ่งประกอบด้วยตำแหน่ง องศา ลิปดา ของลัคนา ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวเคราะห์ต่างๆ รวมถึงกลุ่มดาวฤกษ์ และเทห์ฟากฟ้าอื่นๆ ซึ่งสถิตในราศีทั้ง 12 ของจักราศีที่มีอาณาเขตของตัวเองอยู่บนท้องฟ้า โดยแต่ละตำแหน่งรวมถึง ลัคนา ดาวเคราะห์ และราศี แสดงถึงแง่มุมที่แตกต่างกันของชีวิตคนเราทั้งชีวิต
นักโหราศาสตร์พระเวทสามารถเปิดเผยลักษณะนิสัย จุดแข็ง จุดอ่อน ความท้าทาย และเหตุการณ์สำคัญๆที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตได้ โดยการวิเคราะห์ดวงชะตากำเนิดอย่างละเอียด
3.อิทธิพลของดาวเคราะห์: โหราศาสตร์พระเวทยอมรับอิทธิพลของดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงที่คอยควบคุมหรือบงการชีวิตของเรา ให้ดำเนินไปตามแผนที่กรรมที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงเรียกว่า "นวครหะ" หรือดาวนพเคราะห์ ซึ่งมีดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ รวมถึง ดาวราหู และดาวเกตุ ซึ่งเป็นเพียงแค่เงา ไม่มีตัวตนที่จับต้องได้ เรียกว่า ดาวอุปเคราะห์ หรือ ฉายาเคราะห์
ซึ่งดาวแต่ละดวงจะปลดปล่อยพลังงาน หรือ แผ่รังสี ที่มีอิทธิพลแตกต่างกัน ซึ่งพลังนี้รังสีนี้แหละที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเรา ตั้งแต่เราเกิดจนตาย ปฏิสัมพันธ์และตำแหน่งของดาวเคราะห์เหล่านี้ในดวงชะตา สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า เกี่ยวกับแง่มุมของชีวิตในทุกๆแง่มุม เช่น อาชีพ การงาน การเงิน ความรัก คู่ครอง พี่น้อง บิดา มารดา การศึกษา ความสัมพันธ์ สุขภาพ อุปนิสัยใจคอ รูปร่างลักษณะ ชื่อเสียง ยศศักดิ์ ฯลฯ และรวมถึงจิตวิญญาณ ของเจ้าชะตา
โดยนักโหราศาสตร์สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้จาก การคำนวนตำแหน่งการโคจรของดวงดาวที่คำนวนเอาไว้ล่วงหน้าเป็นสิบๆปี และในทางกลับกันก็สามารถพยากรณ์ย้อนอดีตได้จากการคำนวนการโคจรของดวงดาวที่ได้โคจรผ่านมาแล้ว
4.ระบบดาวเสวยอายุ: เรียกว่าทศา दशा และ ภุกติ भुक्ति ในโหราศาสตร์พระเวท เวลาไม่ใช่แนวคิดเชิงเส้นตรง แต่เวลาทำงานเป็นวัฏจักรหมุนเวียนกันไปตามกาลเวลา ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้โหราศาสตร์พระเวท แตกต่างจากโหราศาสตร์ระบบอื่นๆ
ทุกทศามีดาวเคราะห์เป็นเจ้าทศา 9 ดาวเคราะห์ และเข้าเสวยอายุเรียงกันตามลำดับเป็นมหาทศาดังนี้ อาทิตย์, จันทร์, อังคาร, ราหู, พฤหัสบดี, เสาร์, พุธ, เกตุ, ศุกร์ ดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวง ไม่ว่าดวงใดก็จะแสดงอิทธิพลตามลำดับดาวเคราะห์ ในช่วงเวลาระดับกว้าง คือระหว่าง 6-20 ปี ซึ่งเวลาของดาวเคราะห์ที่กำลังเสวยอายุระดับกว้าง นี้เรียกว่า “มหาทศา” ซึ่งกินเวลารวมทั้งหมดคือ 120 ปี
ส่วนดาวเคราะห์ที่เสวยอายุแทรกเข้ามาในมหาทศาเรียกว่า “ภุกติ” หรือ "อันตรทศา"เป็นช่วงระยะเวลาระดับย่อย ซึ่งสั้นกว่า มหาทศา ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้เอง เป็นช่วงเวลาที่ดาวเคราะห์แต่ละดวงแสดงสามารถแสดงอิทธิพลที่มีต่อชีวิตของเราในแต่ละช่วงอายุ
การทำความเข้าใจดาวเสวยอายุในระบบทศา จะช่วยให้เราเข้าใจช่วงเวลาและโอกาสสำคัญๆ ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ตัวอย่างเช่น ในระบบ”วิมโษตรีทศา” ดาวเคราะห์แต่ละดวงจะมีช่วงเวลามหาทศาที่เป็นของตนเอง และภายในมหาทศานั้นเองก็จะมีดาวเคราะห์แต่ละดวงก็จะมีช่วงเวลา"ภุกติ"ของตนเอง เข้าไปแทรกเสวยอายุและแสดงอิทธิพลต่อชีวิตเราอยู่ในมหาทศานั้น ๆด้วยเช่นกัน
5.เรือนชะตา: ดวงชะตาแบ่งออกเป็นสิบสองเรือน หรืออธิบายเรื่องใหญ่ๆ 12 เรื่องที่ชีวิตคนเราต้องเผชิญ ซึ่งทุกๆเรือนมีความเกี่ยวพันกัน และนำมาอธิบายทั้งความเจริญและความเสื่อม และความเป็นไปของชีวิตเรา ตั้งแต่เราเกิดจนกระทั่งตาย
โดยแต่ละเรือนแสดงถึงแง่มุมต่างๆ ของชีวิต เช่น ตัวตน ครอบครัว อาชีพ ความสัมพันธ์ และจิตวิญญาณ ฯลฯ ซึ่งตำแหน่งของดาวเคราะห์ที่สถิตในเรือนเหล่านี้ สะท้อนความเป็นไปของชีวิตและประสบการณ์ชีวิตของแต่ละบุคคลอย่างละเอียด
6.การแก้เคล็ดดวงชะตาและการพัฒนาทางจิตวิญญาณ: นี่ก็เป็นอีกแง่มุมของโหราศาสตร์พระเวทที่แตกต่างจากโหราศาสตร์ระบบอื่นๆ โดยโหราศาสตร์พระเวทนำเสนอ วิธีการแก้เคล็ด เสริมดวงชะตา ที่มีหลักการอย่างเป็นระบบ เช่น การใช้อัญมณี การทำสมาธิภาวนา การท่องมันตรา (มนต์) และพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีครหะศานติ
วัตถุประสงค์ก็เพื่อต่อต้านอิทธิพลในด้านลบ หรือด้านร้ายให้โทษของดาวเคราะห์และเปลี่ยนพลังของดาวเคราะห์ให้กลายเป็นบวก หรือลดทอนผลร้าย หรือกลับกลายเป็นให้ผลดี นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นเข็มทิศทางจิตวิญญาณ นำทางผู้คนไปสู่การตระหนักรู้ในตนเอง และการพัฒนาจิตใจตนเอง
เมื่อได้ศึกษาและปฏิบัติตามหลักการอันสำคัญเหล่านี้ ข้างต้นโหราศาสตร์พระเวทจะกลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับการค้นพบตนเอง การเติบโตส่วนบุคคล และการพัฒนาทางจิตวิญญาณ ให้สูงส่งและบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น โหราศาสตร์เปรียบเสมือนแผนที่จักรวาลที่จะนำทางเราฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิต ช่วยให้เราตระหนักถึงศักยภาพสูงสุดของตนเอง ตัดสินใจอย่างรอบรู้และชาญฉลาด และท้ายที่สุดก็จะเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งจักรวาลอันยิ่งใหญ่
*เรียนโหราศาสตร์ภารตะ(โหรพระเวท)ฟรี ได้ที่นี่ ศึกษาจากบทเรียน อ่านได้ที่นี่ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/2016-09-26-02-29-18/219-astrology-lesson.html
*แหล่งรวมความรู้โหราศาสตร์ภารตะ อ่านได้ที่นี่ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/2016-09-26-02-29-18.html
*กดติดตาม เพื่ออ่านบทเรียนใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์ Napat Patrapongphaiboon (Astro Neemo)
*******************************
บริการของเรา
ดูฤกษ์ออกรถ ดูฤกษ์ยกเสาเอก ดูฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ดูฤกษ์เปิดกิจการใหม่ ดูฤกษ์จดทะเบียนบริษัท ดูฤกษ์แต่งงานพิธีไทย-ฤกษ์จดทะเบียนสมรส ดูฤกษ์เปลี่ยนชื่อ ดูฤกษ์ตั้งศาลพระภูมิ ดูฤกษ์เข้าทำงานใหม่ ดูฤกษ์ลาสิกขาบท ดูฤกษ์โกนผมไฟ ดูฤกษ์ผ่าคลอด ดูฤกษ์มงคลอื่นๆ
ดูฮวงจุ้ย-แก้ฮวงจุ้ย คำนวนดวงพิชัยสงคราม-เสริมดวง-แก้ดวง ดูดวงชะตาด้วยโหราศาสตร์พระเวท(โหรภารตะ)
กดติดตาม เพื่ออ่านบทความใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์
*******************************