2.การหากำลังของดวงฤกษ์ของฤกษ์ผ่าคลอด
ในการคำนวนหาฤกษ์ผ่าคลอดจะมีส่วนประกอบสำคัญหลักๆอยู่หลายประการ เช่น กำลังของดาวเคราะห์ การวางตำแหน่งดาวเคราะห์ในดวงฤกษ์ให้มีความหมายสัมพันธ์กับดวงชาตาและกิจการที่จะกระทำ การวางลัคนาให้สัมพันธ์กับเรือนชาตา,ราศีตามความมุ่งหมายและกิจการที่ต้องการให้ประสบความสำเร็จและประการที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นหัวใจในการวางฤกษ์คือ “การหากำลังของดวงฤกษ์” ซึ่งจะประกอบด้วย 6 ส่วนคือ
2.1 ปัญจกสุทธิ หรือกำลังทั้ง 5 ประการของ ดิถี นักษัตร วาร โยค และ กรณะ ตามรายละเอียดใน”ปฏิทินปัญจางคะ” คือ
(2.1.1) ดิถีหรือวันขึ้นแรม
ของโหรภารตะจะแบ่งเป็นศุกลปักษ์ หรือข้างขึ้น และกฤษณปักษ์หรือข้างแรม มีดีร้ายต่างกัน นอกจากนี้ดิถียังแบ่งประเภทย่อมออกเป็น นันดิถี ภัทรดิถี ชยะดิถีหรือ ปูรณะดิถี ก็จะเกิดผลดีเป็นมงคลอย่างสูงและควรหลีกเลี่ยง ริกตะดิถี เพราะเป็นดิถีไม่ดี เว้นแต่จะมีพลังศุภมงคลจากทางอื่นมาช่วยแก้ไขให้บรรเทาให้เป็นกลาง หรือ ได้โยคเกณฑ์พิเศษจากเงื่อนไขอื่นๆ
(2.1.2) วาร-วันในสัปดาห์
วาระ หรือ วันในสัปดาห์ทั้ง 7 เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการคำนวณหาพละ หรือกำลังของดาวเคราะห์ที่มีกำลังแรงในวันนั้นๆ โดยวันในสัปดาห์ตั้งแต่วันอาทิตย์จนถึงวันเสาร์ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อมโยงไปถึงดวงดาวเจ้าวันที่กำลังโคจรบนท้องฟ้า ซึ่งจะสามารถส่งผลดี-ร้ายได้จากกำลังดาวและลักษณะที่เป็นดาวศุภเคราะห์ศุภเคราะห์หรือปาปเคราะห์ กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 10.การหากำลังของดวงฤกษ์
(2.1.3) นักษัตร-กลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗
ส่วนสำคัญส่วนที่ 3 คือกำลังของดาวฤกษ์ทั้ง 27 หรือดาวนักษัตร มีความกว้างนักษัตรละ 13 องศา 20 ลิปดาซึ่งหากจันทร์โคจรผ่านกลุ่มดาวนักษัตรเหล่านี้เมื่อใด ก็จะสะท้องพลังรังสีดี-ร้ายของดาวฤกษ์เหล่านี้มาสู่พื้นปฐพี ซึ่งกลุ่มดาวนักษัตรเหล่านี้เองที่เราเรียกว่า “ฤกษ์” ซึ่งมีความสำคัญมากต่อดวงชาตาชีวิตของคน และเป็นหลักในการวางฤกษ์ยามต่างๆ
นักษัตรต่างๆเหล่านี้แบ่งออกตามลักษณะของกำลังมี 7ประเภทคือ 1.นักษัตรมั่นคงถาวร(สถิระ) 2.นักษัตรเคลื่อนไหว-(จาระ) 3.นักษัตรร้ายกาจ(วัชระ) 4.นักษัตรรวม-ผสมผสาน (มิษระ) 5.นักษัตรแจ่มใส-รุ่งโรจน์ (ลฆุ)6.นักษัตรเฉียบขาด(อุคระ)7.นักษัตรอ่อนโยน (มฤธุ)
และนอกจากนี้ในช่วงเวลาของแต่ละนักษัตรก็มีช่วยเวลาร้ายอยู่ทุกนักษัตร เรียกว่า *เวลาต้องห้ามของแต่ละนักษัตร (นักษัตรตะยะชะยะกาล) ต้องหลีกเลี่ยง กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 11.อิทธิพลของนักษัตร
(2.1.4) โยค หรือนักษัตรโยค
นักษัตรโยคมีการคำนวณองศาสัมพันธ์ระหว่างอาทิตย์และจันทร์ ใน 1เดือนจันทรคติ (28 วัน) เพื่อหาพลังรังษีที่เป็นศุภผล หรือเป็นมงคลเอื้อประโยชน์ต่อชีวิต และจิตวิญญาณของมนุษย์ และพลังงานที่ไม่เป็นศุภผลที่ให้โทษ ซึ่งเรียกว่านักษัตรโยค โดย 1 ในรอบเดือนทางจันทรคติจะมีโยคทั้งดีและโยคร้ายหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยน แต่ละโยคมีระยะ 13 องศา 20 ลิปดา มีจำนวนทั้งหมด 27 โยค กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 11.อิทธิพลของนักษัตร
(2.1.5) กรณะ-หรือนักษัตรกาล
พลังงานส่วนที่ 5 คือ กรณะ หรือเรียกว่า นักษัตรกาลเป็นการคำนวณระยะเวลาของครึ่งวันของวันทางจันทรคติโดยคำนวณจากระยะของดาวอาทิตย์และดาวจันทร์ในช่วงทุกๆ 6 องศาทวีคูณ ผลทีได้เป็นพลังรังสีดี-ร้ายมีจำนวน 11 กรณะและหมุนเวียนกันต่อเนื่องกันตลอดดิถีตามหลักวิธีการคำนวณกรณะคือ ใน 1 เดือนจันทรคติ กรณะลำดับที่ 1-7 หมุนเวียนกันเป็นเจ้าการ 8 ครั้งโดยเริ่มต้นในครึ่งวันหลังของดิถีที่ 1 ของเดือน ลำดับที่ 8-11 เป็นเจ้าการคงที่ไม่หมุนเวียน โดยใน 1 วันจะมี 2 กรณะ กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 11.อิทธิพลของนักษัตร
2.2 ราหูกาล ยมกาล คุลิกากาล และช่วงเวลาร้ายอื่นๆที่ต้องหลีกเลี่ยง
นอกจากหลักการที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การกำหนดฤกษ์ยามมงคลยังจะต้องพิจารณาจากกาละ หรือ มุหูรตะกาล เพิ่มเติมอีกหลายประการ เช่น
1.ราหูกาล -คือช่วงเวลาที่ไม่ดีในแต่ละวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของราหู ควรหลีกเลี่ยงและงดเว้นกิจการที่เป็นมงคลในช่วงระยะเวลานี้ ช่วงของราหูกาลถือว่าเป็นเวลาให้โทษร้ายรุนแรง ห้ามให้ฤกษ์มงคลเป็นอันขาด หากทำการเริ่มต้นกิจการงานใดใดในระหว่างช่วงของราหูกาลนี้ จะเกิดความเสียหาย ผิดหวัง และการจบสิ้น กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ ราหูกาล
2.ยมกาล-คือช่วงเวลาของพระยม เทพเจ้าแห่งความตายซึ่งต้องหลีกเลี่ยง แต่เป็นช่วงเวลาเหมาะแก่การประกอบพิธีงานอวมงคลต่างๆเช่นงานฌาปนกิจศพ ส่วนงานมงคลอื่นๆควรต้องงดเว้น เพราะจะทำให้เกิดความล้มเหลว
3.คุลิกากาล-หรือเรียกว่า ”มันถิกาล”ซึ่งมันถิและคุลิกาเป็นบุตรของดาวพระเสาร์และเป็นช่วงจะทำให้้เกิดปรากฏการณ์้ซ้ำๆขึ้นอีกหลายครั้ง ซึ่งไม่เป็นมงคล กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ “คุลิกา” ในโหราศาสตร์ภารตะ(ฮินดู) ส่งผลต่อเราอย่างไร : ตอน 1
2.3 ทุรมุหูรตะ-หมายความว่า เป็นช่วงเวลาที่ไม่เป็นมงคล ในแต่ละวัน และจะต้องหลีกเลี่ยง
2.4 วารชยะ-ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่ดีอีกเช่นกัน โดยคำนวนจากห้วงเวลาของนักษัตรที่จันทร์เสวย ซึ่งนักษัตรหนึ่งๆไม่ได้ให้ผลดีตลอดทั้งนักษัตร แต่จะมีช่วงที่ไม่เป็นมงคลเป็นช่วงๆของนักษัตรนั้นๆ ดังนั้นในวันหนึ่งๆอาจจะมี วารชยยาม มากว่า 1 ช่วงเวลา
กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 12.ราหูกาล ยมกาล คุลิกากาล และช่วงเวลาร้ายอื่นๆ และ 13.ปัญจกสุทธิ รวมกำลังทั้ง 5 ประการ
2.5 ปัญจกวิธี คือ การคำนวนหากำลังราศีเพื่อวางลัคน์ในดวงฤกษ์ โดยขั้นตอนนี้เป็นการคำนวนหาฤกษ์ยามที่สมพงษ์กับดวงชาตา ตำแหน่งของลัคนาในดวงฤกษ์จะต้องได้กำลังดี ปราศจากผลร้ายอื่นๆเพื่อที่จะให้เกิดอิทธิพลังในการบันดาลความสำเร็จตามความมุ่งหมายของฤกษ์ที่จะทำการนั้นๆ ปัญจกวิธี เป็นการคำนวนหามูลฐานของพลังสำคัญ ๔ ประการดังนี้ ๑. ดิถี ๒. วาระ หรือวันในสัปดาห์ทั้ง ๗ วัน ๓. นักษัตร ทั้ง ๒๗ นักษัตร นับจากอัศวิณี ไปจนถึง เรวดี ๔. ราศีลัคน์ ทั้ง ๑๒ ราศี นับจากราศีเมษ ไปจนถึงราศีมีน แล้วนำทั้งหมดนำมาหากำลังราศีที่ดีที่สุดเพื่อวางลัคนา
กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 16.ปัญจกวิธี- วิธีการวางลัคน์ในดวงฤกษ์
2.6 มุหูรตะโยค หรือโยคที่ได้เกณฑ์พิเศษโดยอาศัย กำลังจากดิถี วาร มาส(เดือน) และนักษัตร ผสมกัน ซึ่งมีทั้งดีและร้าย ส่วนโยคดีก็ เช่น สิทธาโยค ,สุตะโยค ,ศุภมัธยมโยค ,โสภณโยค, อมฤตโยค หรือโยคร้าย เช่น มฤตยูโยค ,นาศะโยค ,อุตปาฏนะโยค ,ยมธันโยค, ทคธะโยค ทั้งนี้ต้องตรวจสอบให้ได้ โยคดี กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 17.มุหูรตะโยค-โยคที่ส่งผลดี-ร้าย
2.7 ข้อยกเว้นและกฏเกณฑ์พิเศษอื่นๆ โดยกฏเกณฑ์ทั้งหมดนี้จะได้อธิบายรายละเอียดต่างๆดังต่อไปนี้ เช่น ห้ามวันคราส เช่น สุริยุปราคา จันทรุปราคา ทั้งก่อน-หลัง 7วัน ,ห้ามวันพระอาทิตย์ย้ายราศี หรือ สุริยสังกรานมณ ,คัณฑานตะ-หมายถึงข้อพับ หรือเป็นจุดรอยต่อของฤกษ์และราศี ซึ่งแสดงถึงการแตกแยก ทำลาย และความวิบัติ, กรรตรีโทษ -โทษเบียฬ นอกจากนี้ก็ยังมีโทษอื่นๆอีก เช่น ,ษัษฏะ อัษฏะ ริผฆฏะ จันทรโทษ ,สเคราะห์จันทรโทษ ,คณะทาณะดารา , ปาปษัทวรรค, ภฤคุษัทกะ , กุชอัษฏมะ (คุชโทษ) ,อัษฏมลัคนโทษ , ราศีวิษฆติกา , กุณนวางศโทษ, วาระโทษ , คระหโนตปาตะโทษ, เอการะกาลาโทษ ,กรูระสัมยุตโทษ ,อกาลฆรรชิตะ ,วริษติโทษ , ไวธรุติโทษ , มหาปาตะโทษ กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 18. ข้อยกเว้นและกฏเกณฑ์พิเศษอื่นๆ
2.8 โชคดี-โชคร้าย (โยค)ในดวงชาตา
สัมพันธภาพต่างๆของดาวเคราะห์ทุกดวงในดวงชาตาของทารก ประกอบเป็นรูปโยค(หรือโชค) ส่งผลให้ทารกนั้นเป็นคนโชคดีหรือโชคร้าย สำหรับโหราศาสตร์ภารตะท่านกำหนดสัมพันธภาพดี-ร้ายเอาไว้ 300 ประเภท
การวางดาวเคราะห์ในดวงฤกษ์จะต้องได้สัมพันธภาพที่ดี หรือ โยคดี ที่ส่งผลให้มีชื่อเสียง มีปัญญา ร่ำรวย เกียรติยศ ฯลฯ เช่น นภสโชค จามรโชค เภรีโชค คชเกษริโยค หรือโยคที่ทำให้โชคดีดุจราชา เช่น ราชาโยค อย่าให้มีโยคร้าย เช่น โยคติดคุก เป็นหม้าย ยากจน พิการ ประสาท วิกลจริตและมีโรคร้ายต่างๆ กรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ คัมภีร์ไตรศตโชคมัญชริ