บทที่ 1 จักรวาลสองระบบ ที่อยู่บนฟ้าเดียวกัน (4)
วันนี้ผมจะมาเล่าต่อในตอนสุดท้าย ของบทที่ 1 หัวข้อนี้คือ “จิตวิญญาณของบทเรียนบทที่ 1 ทั้งหมด” เพราะจะพาเราก้าวจาก โหราศาสตร์ ไปสู่ ปรัชญาแห่งกาลเวลา ซึ่งนี่เป็นหัวใจของโหราศาสตร์พระเวท และหากเราเข้าใจทั้ง 4 ตอนของบทที่ 1 ที่อธิบายมุมมอง”จักรวาลสองระบบ ที่อยู่บนฟ้าเดียวกัน” นี้แล้วก็จะทำให้ การเรียนบทต่อๆไปง่ายยิ่งขึ้น
ปรัชญาแห่งกาลเวลา
กาลเวลา – พระผู้สร้าง ผู้รักษา และผู้ทำลาย ในอะตอมเล็กที่สุดมีพลังแห่งการทำลาย แต่ใน “กาละ” มีทั้งพลังแห่งการสร้าง (सृष्टि– สฤษฺฏิ), การดำรงอยู่ (स्थिति – สฺถิติ), และการทำลาย (संहार – สํหาร). สามพลังนี้คือ “ตรีมูรติแห่งเวลา” (काल त्रिमूर्ति – กาล ตฺริมูรฺติ):
พระพรหม (ब्रह्मा – พฺรหมฺมา) – ผู้สร้าง พระวิษณุ ( विष्णु – วิษฺณุ) – ผู้รักษา พระศิวะ (शिव – ศิวะ) – ผู้ทำลาย ทั้งสามประการนี้รวมกันอยู่ใน “ต้นกำเนิดแห่งกาลเวลาอันนิรันดร์” (कालयोनि – กาลโยนิ).เวลาไม่เพียงแต่เป็นพยานของจักรวาล แต่เป็น “มารดาของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด”
กาละ – ผู้เดียวผู้เป็นทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในครรภ์แห่งกาลเวลา (काल गर्भ – Kāla Garbha – กาล ครภะ) มีทั้ง “อดีต” (भूत – Bhūta – ภูต), “ปัจจุบัน” (वर्तमान – Vartamāna – วรฺตมานะ),และ “อนาคต” (भविष्य – Bhaviṣya – ภวิษฺยะ).ผู้ที่เข้าใจ “ธรรมชาติของกาละ” (कालस्वभाव – Kālasvabhāva – กาลสฺวภาวะ) ย่อมเข้าใจได้ทั้งสามกาลนี้ เพราะอดีตคือรากของปัจจุบัน และอนาคตถือกำเนิดจากปัจจุบัน “ปัจจุบันคือผลของอดีต และอนาคตถูกหล่อขึ้นจากสิ่งที่เราทำในปัจจุบันนี้เอง” นี่คือกฎแห่ง เหตุและผลของกาลเวลา ซึ่งเป็นหัวใจของโหราศาสตร์พระเวท
พระผู้เป็นเจ้ากับกาละนิรันดร์
ใน ภควัทคีตา (भगवद्गीता – ภควทฺคีตา) พระศรีกฤษณะตรัสกับอรชุนในมหาภารตะว่า —कालोऽस्मि लोकक्षयकृत् प्रवृद्धः แปลว่า "เราคือกาลเวลา ผู้มาทำลายล้างโลก" บทนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทที่ 32 ของภควัทคีตา บทที่ 11 ซึ่งพระกฤษณะในร่างจักรวาล(วิศวรูป) ตรัสกับอรชุนว่าพระองค์เองคือกาลเวลาแห่งการทำลายล้าง ผู้มาทำลายล้างโลกทั้งมวลในขณะนั้น พระองค์ทรงเผย “ร่างวิษณุรูป” (विश्व रूप – วิศฺว รูปะ) ให้แก่อรชุนเห็น — ดั่งจะตรัสว่า “แม้จักรวาลนี้ก็อยู่ในอ้อมกอดแห่งกาลเวลา” ความหมายที่ลึกซึ้งของประโยคนี้คือ “ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตามโชคชะตา”
วิศวรูป ( विश्वरूप, "รูปสากล") “พระวิศวรูป”ถือเป็นรูปสูงสุดของพระวิษณุ โดยอธิบายว่าจักรวาลทั้งหมดอยู่ภายในพระองค์ วิศวรูป หมายถึง ธรรมชาติของพรหมันอันหลากหลายและอยู่ทุกหนทุกแห่ง บางครั้งอธิบายศัพท์นี้ด้วยรูปอวตารของเทพเจ้าฮินดูทั้งหมด
เมื่อวิทยาศาสตร์ได้ประจักษ์ “กาละ” ด้วยตาของตนเอง
“บัดนี้ข้ากลายเป็นความตาย ผู้ทำลายล้างโลก” วลีนี้มาจากคำพูดอันโด่งดังของ โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ (J. Robert Oppenheimer) หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ในโครงการแมนฮัตตัน ผู้พัฒนาระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้นฉบับคือ :“Now I am become Death, the destroyer of worlds.”
เขาอ้างถึงคำกล่าวนี้จากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของฮินดู ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) ซึ่งเป็นบทสนทนาในมหากาพย์มหาภารตะ โดยตัวละคร “พระกฤษณะ” กล่าวต่อ “อรชุน” ขณะเปิดเผยรูปลักษณ์เทพเจ้าอันยิ่งใหญ่ของตน
บริบทของวลีนี้ในชีวิตจริง คือในขณะเห็นผลการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกที่ประสบความสำเร็จในปี 1945 ออพเพนไฮเมอร์รู้สึกสั่นสะเทือนในใจ จึงนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมา เป็นการสำนึกถึงพลังทำลายล้างที่เขามีส่วนปลดปล่อยมันออกมา
สัจธรรมของกาละในโหราศาสตร์พระเวท
ในโหราศาสตร์พระเวท “เวลา” ไม่ใช่สิ่งที่ผ่านไปเฉย ๆ แต่เป็น “อำนาจศักดิ์สิทธิ์” (दैव शक्ति – เทว ศกฺติ) ซึ่งดำเนินทุกชีวิตตามวิถีแห่งกรรม ผู้ที่เข้าใจเวลา ย่อมเข้าใจชีวิต ผู้ที่เคารพเวลา ย่อมอยู่เหนือความเปลี่ยนแปลง “ผู้ใดรู้จักกาละ ผู้นั้นย่อมรู้จักพระผูเป็นเจ้า” หัวข้อนี้เป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่าง “ศาสตร์แห่งท้องฟ้า” กับ “ชีวิตของมนุษย์” คือการนำโหราศาสตร์ มาสู่การใช้จริงในโลกแห่งการกระทำ (कर्म – กรฺมะ) หรือ “กรรม”
การประยุกต์ใช้โหราศาสตร์ในชีวิตประจำวัน
โหราศาสตร์ — ศาสตร์แห่งความเป็นไปได้ นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ ลาปลาซ (Laplace) เคยกล่าวว่า “ความน่าจะเป็น (Probability) คือเครื่องมือที่ใช้ต่อสู้กับความไม่แน่นอนของความจริง” ในทัศนะของมหาฤษีโบราณทั้งหลาย โหราศาสตร์ ก็คือ การประยุกต์ใช้กฎแห่งความน่าจะเป็น โดยอาศัยข้อมูลทางดาราศาสตร์เป็นพื้นฐาน ดวงดาวไม่ได้บังคับชะตา แต่เป็น “ภาษาของสภาวะที่เป็นไปได้” ผู้รู้จักอ่านภาษานี้ ย่อมรู้จักแนวโน้มแห่งเหตุการณ์ และสามารถเตรียมใจ เตรียมการ รับมือกับมันได้อย่างมีปัญญา
อุปสรรคแห่งชีวิตและเหตุแห่งกรรม
ในชีวิตของเรา มักมีอุปสรรคอยู่เสมอ บางอย่างเรารู้ บางอย่างเราไม่รู้ บางครั้งเรารู้สึกเหมือน “มีบางสิ่งมองไม่เห็นกำลังขวางทางอยู่” โหราศาสตร์เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า दैव बाधा – เทว พาธา แปลว่า “อุปสรรคจากฟ้า” แต่ด้วย “ปัญญาแห่งท้องฟ้า” ทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าอุปสรรคเหล่านั้นมาจากไหน เกิดจากดาวเคราะห์ใด และมีเหตุแห่งกรรมใด เป็นตัวก่อให้เกิดมันขึ้นมา
กฎแห่งความสอดคล้องของฟ้าและดิน
ในปรัชญาโบราณกล่าวไว้ว่า “ทุกเหตุในธรรมชาติมีเหตุแห่งสวรรค์สอดคล้องอยู่เสมอ” นี่คือสิ่งที่เรียกว่าसाम्य नियम – สามฺย นิยม หรือที่โลกตะวันตกเรียกว่า “Law of Correspondences” และใจความนี้ถูกสรุปไว้ในสุภาษิตโบราณว่า (“As above, so below.” – บนเป็นเช่นไร ล่างก็เป็นเช่นนั้น”) กล่าวคือ สิ่งที่เกิดบนฟ้า สะท้อนสิ่งที่เกิดบนดิน เมื่อเรารู้ “เหตุ” (कारण – การณะ) การแก้ “ผล” (फल – ผละ) ก็ไม่ยากอีกต่อไป
นักวิทยาศาสตร์กับนักโหราศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ศึกษาผล เพื่อ “ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้น” แต่นักโหราศาสตร์ — ผู้รู้จักกาละ และโยคี ศึกษาที่ “เหตุ” เพื่อ “เข้าใจสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
โหราศาสตร์ – ตะเกียงในความมืด
ในคัมภีร์โบราณเรียกโหราศาสตร์ว่า तमसि दीपः – ตมสิ ทีปะห์ “ตะเกียงในความมืด” เพราะผู้ที่ไม่เข้าใจเวลา ย่อมเดินในความมืดแห่งกรรม แต่ผู้ที่มีแสงแห่งโชติษะ (โหราศาสตร์) ก็ย่อมมองเห็นเส้นทางแห่งชีวิตได้แจ่มชัด ดังสุภาษิตกล่าวว่า “Forewarned is Forearmed.” มาจากสุภาษิตละตินแปลว่า “นักรบผู้รู้ข่าวล่วงหน้า ย่อมชนะเสมอ”
ความหมายของ “การรู้จักดวงดาว”
สิ่งที่เรากลัวที่สุด มักไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่สุด แต่คือ “สิ่งที่เราไม่รู้” และโหราศาสตร์ คือเครื่องมือแห่งความรู้ ที่ทำให้เรา “เห็นก่อนเกิด” เมื่อรู้เหตุ เราไม่ต้องหนีผล เมื่อเข้าใจฟ้า เราก็เข้าใจตนเอง เพราะเมื่อดาวเคราะห์ให้ผลเชิงลบ หรือ ดาวบาปเคราะห์ (पाप ग्रह – ปาป คฺรหะ) เราสามารถ “แก้กรรม” และ “ยกระดับจิตใจ” เพื่อก้าวข้ามพลังนั้นได้ เมื่อรู้เท่าทันดาว “ชีวิตจะราบรื่นขึ้น และความสำเร็จย่อมเป็นของเรา”หัวข้อนี้เป็น “เป็นเชิงเปรียบเทียบ” ที่สำคัญมากของทั้งสองระบบ —ระหว่างโหราศาสตร์ตะวันตก กับโหราศาสตร์พระเวท ต่อไปผมจะอธิบายเพื่อให้เห็นภาพ เหมือนเรายืนมองฟ้าเดียวกัน แต่คนละมุมมองของการคำนวณของกาลเวลาและฤดูกาล
โหราศาสตร์สายนะและนิรายนะ ฟ้าเดียวกัน แต่มองต่างมุม
โหราศาสตร์ คือศาสตร์ที่รวมโลกทั้งใบไว้ใต้ “ฟ้าเดียวกัน” ไม่ว่าจะเป็นชาติ ศาสนา หรือภาษาใด —ทุกชีวิตล้วนอยู่ภายใต้จังหวะเดียวกันของกาลเวลา แต่แม้เราจะมองฟ้าเดียวกัน ก็มี “สองแนวทางในการวัดและตีความ” ที่ต่างกัน คือ Tropical Astrology – โหราศาสตร์สายนะ กับ โหราศาสตร์นิรายนะ ซึ่งทั้งสองระบบนี้ไม่ขัดแย้งกัน แต่เป็นเหมือน “สองดวงตา” ที่ช่วยให้เรามองฟ้าได้ครบมิติยิ่งขึ้น
โหราศาสตร์ระบบสายนะ (Tropical Astrology)
โหราศาสตร์สายนะ (Tropical Astrology) หรือที่รู้จักกันว่า “โหราศาสตร์ตะวันตก”เป็นระบบที่ใช้ ฤดูกาลของโลก เป็นจุดอ้างอิงหลัก โดยเริ่มต้นจักรราศีที่ จุดวสันตวิษุวัต – Vernal Equinox ซึ่งเป็นวันที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากันในเดือนมีนาคม
ราศีเมษ (Aries) ในโหราศาสตร์สายนะ จึงเริ่มต้นในวันที่ดวงอาทิตย์เข้าสู่จุดนี้ โดยไม่คำนึงถึง ตำแหน่งจริงของดวงดาวบนท้องฟ้า” แต่ยึดตาม “การหมุนของโลกและฤดูกาล” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ — สายนะ (Tropical) ไม่ได้ดู “ฟ้าจริง” แต่ดู “ฟ้าตามฤดูกาลของโลก”นี่คือระบบที่นิยมมากในโลกตะวันตก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
โหราศาสตร์ระบบนิรายนะ (Sidereal or Vedic Astrology)
โหราศาสตร์นิรายนะ หรือที่รู้จักกันในนาม “โหราศาสตร์พระเวท” (Vedic Astrology) หรือ “โหราศาสตร์ภารตะ” หรือ “โหราศาสตร์ฮินดู” เป็นระบบที่ อ้างอิงตามตำแหน่งจริงของดวงดาวและกลุ่มดาวบนท้องฟ้าระบบนี้พิจารณา “การส่ายของแกนโลก” (Precession of the Equinoxes) ซึ่งทำให้จุดวสันตวิษุวัตค่อย ๆ เคลื่อนถอยหลังบนสุริยวิถี ดังนั้น ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ใน “จักรราศี” ตามโหราศาสตร์นิรายนะจึงสอดคล้องกับ “ดาวจริง” ที่เราสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าหรือกล้องโทรทรรศน์ กล่าวอย่างง่าย ๆ คือ “นิรายนะ” ดู “ท้องฟ้าจริงๆ” ส่วน “สายนะ” ดู “ท้องฟ้าตามฤดูกาล”
ความแตกต่างระหว่างระบบสายนะและนิรายนะ-ฟ้าเดียวกัน แต่เหตุผลต่างกัน
ในวงการโหราศาสตร์ นักโหราศาสตร์และนักศึกษาโหราศาสตร๋ จำนวนมากที่มัก “โต้แย้ง” ว่าระบบใดถูกต้องกว่ากัน บางคนยืนยันว่าระบบตะวันตก (Tropical) แม่นกว่า บางคนยืนยันว่าระบบอินเดีย (Sidereal) คือความจริงแท้ของฟ้า ย่อมแม่นยำกว่า แต่เมื่อศึกษาลึกลงไปใน “พลังงานและอิทธิพลของราศี” และ รูปแบบของเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นจริงตลอดหลายปี นักโหราศาสตร์จำนวนมากได้เห็นตรงกันว่า “ทั้งสองระบบต่างก็ถูกต้อง และมีคุณค่าของตนเอง”
ความแตกต่างระยะเชิงมุมของฟ้า ในปัจจุบัน (ค.ศ. 2025) ระยะห่างระหว่าง จักรราศีสายนะ (Tropical Zodiac) และ จักรราศีนิรายนะ (Sidereal Zodiac) อยู่ที่ประมาณ 24 องศา (24°) ความต่างนี้เกิดจาก “การส่ายของแกนโลก” ซึ่งทำให้จุดวสันตวิษุวัตค่อย ๆ เคลื่อนถอยหลังไปทุกปี
ตัวอย่างราศีเมษ (Aries)
ระบบสายนะ (Tropical) วันที่เริ่มต้นของราศีเมษ (Aries) คือวันที่ 21 มีนาคม – 19 เมษายน โดยใช้จุดอ้างอิงคือ จุดวสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) หลักการคำนวณคือ ยึดตามฤดูกาลของโลก ระบบนิรายนะ (Sidereal) วันที่เริ่มต้นของราศีเมษ (Aries) คือวันที่ 14 เมษายน – 14 พฤษภาคม โดยใช้จุดอ้างอิงคือ ดาวฤกษ์อัศวินี หลักการคำนวณคือ ยึดตามตำแหน่งจริงของดวงดาวบนท้องฟ้า
ทวิภาวะ (Duality): คู่ตรงข้ามตามธรรมชาติ
ตอนนี้เป็นตอนที่ลึกซึ้งมากขึ้น เพราะจะเป็นการอธิบายหลักการที่ว่า “จักรวาลและชีวิตมนุษย์” ต่างดำเนินอยู่ด้วยหลัก สมดุลแห่งคู่ตรงข้าม ทวิภาวะ (Duality): เป็นแนวคิดที่ว่าจักรวาลประกอบด้วยสิ่งที่ตรงกันข้ามแต่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเพื่อสร้างความสมดุล.
คู่ตรงข้ามแห่งธรรมชาติ ระบบสายนะ–นิรายนะ : คือกระจกสองบานที่สะท้อนตัวตนของเรา
โหราศาสตร์สายนะ มีรากมาจาก “ฤดูกาล” ของโลก ดังนั้น ดวงชะตาแบบสายนะ (Tropical Birth Chart) จึงสะท้อน “ตัวตนทางโลก” หรือ “กายภาพของเรา” ส่วนโหราศาสตร์นิรายนะ ที่อิงกับ “ฟ้าจริง” จึงสะท้อน “ตัวตนภายใน” หรือ “จิตวิญญาณ” หรือ “อาตมัน” ที่มองเห็นความลึกซึ้งของกาลเวลาและผลของกรรม ดังนั้น ดวงชะตาทั้งสองแบบ จึงเปรียบเหมือน “กระจกสองบาน” ที่สะท้อนภาพของโลกภายนอกและโลกภายในของเรา
คู่ตรงข้ามคือ ธรรมชาติของจักรวาล
โลกนี้ดำรงอยู่ได้เพราะมี “คู่ตรงข้าม” (द्वैत –ทฺวไตตะ) และทั้งคู่ไม่ได้ขัดแย้ง แต่ “สมดุลกัน” (सामंजस्य – สามัญชสยะ) เช่น กลางวัน-กลางคืน ฤดูร้อน-ฤดูหนาว กายภาพ-จิตวิญญาณ ดี-ชั่ว ชาย- หญิง ซ้าย-ขวา ฯลฯ เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือ “จังหวะการเต้นของจักรวาล” เมื่อเข้าใจสิ่งนี้ เราจะเห็นว่าโหราศาสตร์ไม่ได้พูดถึงดาวเพียงอย่างเดียว แต่พูดถึง “การประสานของพลังสองขั้ว” ในทุกระดับของชีวิต
โหราศาสตร์กับราศีคู่ตรงข้าม
พื้นฐานของจักรราศีเองก็ถูกสร้างขึ้นด้วยคู่ตรงข้ามที่สมดุล เช่น
คู่ราศีตรงข้าม เมษ -ตุลย์ ความสมดุลคือ ตัวตน-ความสัมพันธ์(คู่ครอง)
คู่ราศีตรงข้าม พฤษภ-พิจิก ความสมดุลคือ ความมั่นคง-การเปลี่ยนแปลง
คู่ราศีตรงข้าม มิถุน-ธนู ความสมดุลคือ ความรู้โลก-ปัญญาทางธรรม
คู่ราศีตรงข้าม กรกฎ-มกร ความสมดุลคือ จิตใต้สำนึก-จิตเหนือสำนึก
คู่ราศีตรงข้าม สิงห์-กุมภ์ ความสมดุลคือ สิ่งที่เป็นรูปธรรม-สิ่งที่เป็นนามธรรม
คู่ราศีตรงข้าม กันย์-มีน ความสมดุลคือ ความยึดติด-ความหลุดพ้น
การเปรียบเทียบระหว่าง “ตำแหน่งดาวตามฤดูกาล ”กับ “ตำแหน่งดาวจริงบนท้องฟ้า”
และตอนนี้เรากำลังเข้าสู่หัวข้อที่ “จับต้องได้จริง” ทางดาราศาสตร์ —คือการเปรียบเทียบระหว่าง “ตำแหน่งดาวตามฤดูกาล ”กับ “ตำแหน่งดาวจริงบนท้องฟ้า” ซึ่งตอนนี้จะได้อธิบายให้เห็นภาพทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางจิตวิญญาณเพื่อให้เข้าใจว่าทำไม “ฟ้าที่เรามองเห็น” จึงไม่เหมือน “ฟ้าที่โลกตะวันตกคำนวณ”
ในระบบโหราศาสตร์สายนะ การคำนวณราศีอ้างอิงตาม “ฤดูกาลของโลก” และจุดวสันตวิษุวัต ซึ่งสัมพันธ์กับการหมุนของโลก แต่ระบบนี้ ไม่ได้อ้างอิงจากตำแหน่งจริงของดาวเคราะห์บนท้องฟ้า (Actual Celestial)
ดังนั้น แม้จะเป็นระบบที่ให้ความหมายทางจิตวิทยาได้ดี แต่มันสะท้อน “การตีความพื้นผิว” (Surface Interpretation) “การตีความพื้นผิว”อาจหมายถึงการวิเคราะห์ชั้นนอกของวัตถุทางกายภาพมากกว่าการตีความในด้านความลึกของพลังกรรม (Karmic Depth)
ตัวอย่างความแตกต่างของ “ฤดูกาล” กับ “ความจริงบนฟ้า” สมมุติว่าในเดือนเมษายน โหราศาสตร์สายนะจะบอกว่า “ตอนนี้คือฤดูกาลแห่งราศีเมษ (Aries Season)” เพราะดาวอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีเมษตามระบบสายนะ คือช่วงแห่งพลัง การเริ่มต้น และแรงกระตุ้นแต่ในความเป็นจริง —เมื่อเราคำนวณตามโหราศาสตร์นิรายนะ ดาวอาทิตย์ในช่วงนั้น ยังสถิย์อยู่ในราศีมีน ของระบบนิรายนะ
ดังนั้น หากในช่วงนี้เรากลับรู้สึกเฉื่อยชา ไม่มีแรงกระตุ้น เหมือนพลังชีวิตยังอยู่ในโหมด “ฝันและจินตนาการ” นั่นเพราะดาวอาทิตย์ยังอยู่ในราศีมีนของระบบนิรายนะ ซึ่งเป็นราศีแห่ง “วินาสนะ การหลุดพ้นและการปล่อยวาง” นั่นเอง ดังนั้น “บนท้องฟ้าแห่งความเป็นจริง” ดวงชะตาของเราอาจอยู่ในราศีที่ต่างจากที่ปฏิทินสายนะบอกเอาไว้
โหราศาสตร์นิรายนะ : คือท้องฟ้าที่มองเห็นได้จริง นี่คือความงดงามของระบบนิรายนะ (Sidereal System) ก็คือมัน “จับต้องได้” หากเรานำกล้องดูดาวขึ้นส่องบนฟ้า ณ คืนๆหนึ่ง ตำแหน่งของดาวอังคาร, ดาวพฤหัส, หรือดาวเสาร์ จะอยู่ในราศีที่ ตรงกับระบบนิรายนะ แต่จะ “ไม่ตรง” กับที่โหราศาสตร์สายนะคำนวณไว้ นี่แปลว่า “ฟ้าที่เรามองเห็นด้วยตาจริงๆ” ก็คือท้องฟ้าและจักรวาลของ “โหราศาสตร์พระเวท” จริงฯนั่นเอง
ทำไมสิ่งนี้จึงสำคัญ เพราะโหราศาสตร์พระเวทถือว่า “สิ่งที่เห็นในฟ้า คือสิ่งที่สะท้อนในจิต” โหราศาสตร์พระเวทจึงอธิบายว่า ขณะเมื่อเรากำลังเพ่งมองดวงดาว นั่นก็คือเรากำลังมอง “ภาพสะท้อนของกรรม”ของเราที่เคยได้ทำมาแล้วตั้งแต่ในอดีตชาติ และเมื่อเราศึกษาดาวจริงจากโหราศาสตร์พระเวท นั่นคือเรากำลังเรียนรู้ “ความจริงของกาลเวลา”และการให้ผลดี-ชั่วหรือวิบากกรรม ตามลำดับแรงกรรมที่สัมพันธ์กับเงื่อนไข สถานการณ์ และกาลเวลาที่ควรจะให้ผล
โหราศาสตร์นิรายนะ(พระเวท)จึงให้ภาพที่ “ลึกกว่า” เพราะมันพูดถึงสิ่งที่ดำเนินอยู่ “จริง ๆ” ในจักรวาลไม่ใช่เพียงภาพเชิงสัญลักษณ์จากฤดูกาลบนโลก
โหราศาสตร์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์
หัวข้อนี้คือ “บทสรุปแห่งปัญญา” ของบทเรียนที่หนึ่งทั้งหมดที่บรรยายมา — เพราะเราจะพูดถึง “จุดที่โหราศาสตร์ กับ วิทยาศาสตร์” แยกจากกัน แต่ก็ยังเชื่อมถึงกันด้วย “จิตสำนึกของมนุษย์”
มุมมองของวิทยาศาสตร์
ในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ ทั้งระบบโหราศาสตร์สายนะและนิรายนะ ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ (Empirical Evidence) ที่พิสูจน์ได้ว่า “ดวงดาวมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมหรือบุคลิกของมนุษย์โดยตรง”
ดังนั้น หากมองในกรอบของวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ โหราศาสตร์ย่อม ไม่ถือเป็นศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ทางฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์ แต่อยากให้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่า “วิทยาศาสตร์” และ “โหราศาสตร์” ต่างก็เป็น “หนทางแห่งความรู้” เพียงแต่ใช้วิธีต่างกันเท่านั้นเอง
โหราศาสตร์คือศาสตร์เหนือวัตถุ
โหราศาสตร์แท้จริงแล้วเป็นศาสตร์เชิงอภิปรัชญา (Metaphysical Science) หรือที่เรียกว่า “ศาสตร์แห่งจิตวิญาณและกาลเวลา” โหราศาสตร์ที่แท้จริง โดยเฉพาะโหราศาสตร์พระเวทไม่เคยอธิบายว่า “ดวงดาวมีแรงแม่เหล็กหรือแรงโน้มถ่วงหรือมีพลังรังสีที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์อย่างไร” แต่กลับพูดถึง “พลังของรูปลักษณ์” ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง “จักรวาล-ท้องฟ้า” กับ “จิตมนุษย์” ดังที่โบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า “यथा नभसि तथा चेतसि– ยถา นภสิ ตถา เชตสิ “ฟ้าเป็นเช่นไร ใจก็เป็นเช่นนั้น”
ความละเอียดของโหราศาสตร์ระบบนิรายนะ
บางคนที่เคยศึกษาโหราศาสตร์ระบบนิรายนะ และมุ่งเน้น “ตำแหน่งดาวจริง” อาจรู้สึกว่าระบบนี้ “ดูเป็นวิทยาศาสตร์มากไปหน่อย ”แต่ “ให้ความรู้สึกน้อยกว่า” ระบบสายนะที่ผูกกับฤดูกาลและอารมณ์ของมนุษย์ นี่ไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่นี่กลับเป็นลักษณะธรรมชาติและเอกลักษณ์ของระบบนิรายนะ
เพราะระบบนิรายนะไม่ได้อธิบายผ่านอารมณ์ แต่มองลึกถึง “พลังกรรมและจิตวิญญาณ” ดังนั้น การตีความจึงละเอียดและต้องใช้ “จิตที่นิ่งและละเอียดหรือใช้พลังสมาธิ” ในการแปลความหมาย
ความงามในความต่าง
ในขณะที่ระบบสายนะ ให้พลังชัดเจน เข้าใจง่าย และสะท้อน “อารมณ์ของช่วงเวลา” ได้ดี แต่ระบบนิรายนะ กลับเปิดประตูสู่ “ความจริงภายใน” ซึ่งอาจไม่ชัดในความรู้สึก แต่ลึกในความเข้าใจ
ความเหมือนกันระหว่างโหราศาสตร์สายนะและนิรายนะ
๑. ตำแหน่งสัมพัทธ์ของดาวเคราะห์ยังคงเหมือนกัน แม้ว่าทั้งสองระบบจะมี “จุดเริ่มต้นของราศี” ไม่ตรงกัน แต่ ตำแหน่งสัมพัทธ์ระหว่างดาวเคราะห์ ยังคงเหมือนกันทุกประการ เช่น ถ้าดาวศุกร์ อยู่ใกล้ดาวอังคาร กี่องศาในระบบสายนะ มันก็จะอยู่ใกล้กันเช่นเดียวกันในระบบนิรายนะ —เพราะความสัมพันธ์ของมุมดาวต่อกัน (Aspect) ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
หรือถ้าดาวเสาร์ ทำมุมฉาก 90° กับดาวเนปจูน มุมนี้ก็เกิดขึ้นพร้อมกันในทั้งสองระบบ กล่าวได้ว่า “พลังสัมพันธ์ของดาว” (Planetary Dynamics) ยังคงเป็นจริงในฟ้าเดียวกัน
๒. จันทร์ดับและจันทร์เพ็ญเต็มดวงเกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบสายนะหรือระบบนิรายนะ จันทร์ดับ (อมาวสี) และ จันทร์เพ็ญ (ปูรณิมา)ล้วนเกิดขึ้น “ในเวลาเดียวกัน” เพราะดวงจันทร์ เป็นวัตถุที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่าได้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าระบบไหนก็ต้องยอมรับ “ความจริงของฟ้า” ข้อนี้เหมือนกัน
หากวันเพ็ญตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำในโหราศาสตร์สายนะ ก็จะตรงกันพอดีในโหราศาสตร์นิรายนะด้วย เพราะดาวจันทร์คือสะพานแห่งท้องฟ้า —ที่ทำให้ทั้งสองระบบเชื่อมถึงกันอย่างสมบูรณ์
๓. ความหมายของดาวเคราะห์และภพเหมือนกัน ทั้งสองระบบตีความดาวเคราะห์ และภพ หรือ เรือนชะตา ด้วยหลักการเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันใน “จุดอ้างอิงตำแหน่ง” เท่านั้น
ความต่างทางมุมของจักรราศี
ตอนนี้เรามาถึง “บทสรุปสุดท้าย” ของบทที่ 1 แล้ว คือการรวบยอดทุกสิ่งที่เราศึกษามาตลอดทั้งบท เพื่อให้เข้าใจว่า “ฟ้าไม่ได้ขัดกัน” แต่ “ฟ้าเพียงสะท้อนเราคนละด้าน”
เนื่องจากโลกหมุนและ “แกนโลกส่าย” (Axial Precession)ทำให้จุดอ้างอิงของสองระบบ “ค่อย ๆ แยกออกจากกัน” ในปัจจุบัน ความต่างระหว่างจักรราศีทั้งสองอยู่ที่ประมาณ 25 องศา (25°) ซึ่งหมายความว่า ดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ มักจะ “อยู่ในราศีที่ต่างกัน” เมื่อเทียบระหว่างสองระบบ เช่น ในระบบสายนะ ดวงอาทิตย์อาจอยู่ในราศีเมษ แต่ในระบบนิรายนะ ดวงอาทิตย์จะยังอยู่ในราศีมีน
ความต่างของจำนวนดาวที่ใช้ โหราศาสตร์พระเวท ใช้ “ดาวเคราะห์เจ็ดดวงเป็นหลัก” ( सप्त ग्रह – สปฺต คฺรหะ) คือ ดวงอาทิตย์ จันทร์ พุธ ศุกร์ อังคาร พฤหัส และเสาร์ ซึ่งทั้งหมดมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ในขณะที่โหราศาสตร์ตะวันตก เพิ่ม “สามดาวเคราะห์ยุคใหม่” เข้ามา ได้แก่ ยูเรนัส (अरुण – อรุณะ), เนปจูน (वरुण -วารุณะ), พลูโต (यम – ยะมะ) ถึงแม้แนวทางจะต่างกัน แต่ในปัจจุบัน โหราจารย์บางท่านก็นำทั้งสองแนวทางมาผสมผสาน เพื่อให้ได้มุมมองทั้งเชิงจิตวิทยาและกรรมวิบาก
ทั้งสองระบบ “ถูกต้องในแบบของตน” โหราศาสตร์ทั้งสองระบบต่างมี “ความจริงของตนเอง” สายนะ แปลความหมายของ “ช่วงเวลาและฤดูกาล” เพื่อเข้าใจพลังชีวิตและอารมณ์ของมนุษย์ในขณะนั้น
นิรายนะ แปลความหมายของ “ตำแหน่งจริงของดาว” เพื่อเข้าใจพลังแห่งกรรมและการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ บนท้องฟ้าเดียวกัน — มุมมองต่างกัน แต่ไม่มีมุมไหน “ผิด” เลย แล้วมันหมายความว่าอย่างไรสำหรับเรา?
หากเราเคยศึกษา “ดวงชะตาแบบสายนะ” เราจะเข้าใจ “ตัวตนภายนอก” (External Personality) นี่คือพลังที่ใช้ดำเนินชีวิตในโลกนี้ แต่ถ้าเราศึกษาดวง “แบบนิรายนะ” เราจะเข้าใจ “ตัวตนภายใน” (Inner Being) คือสิ่งที่ลึกกว่าอารมณ์ คือ จิตวิญญาณแห่งกาละที่ซ่อนอยู่ในตัวเราเอง สรุปง่ายว่า สายนะบอกว่า “ฉันคือใครในโลกนี้” นิรายนะบอกว่า “ฉันคือใครในจักรวาล” การรับรู้ทั้งสองแง่มุมคือการรู้จัก “ตนเองทั้งสองด้าน” เมื่อเราศึกษาทั้งสองระบบ เราจะเริ่มเห็น “ชั้นลึกของตนเอง” ซึ่งบางครั้งอาจไม่สอดคล้องกับภาพที่เราคุ้นเคย
ตัวอย่างเช่น —ในระบบสายนะ เราอาจเป็น “ชาวราศีเมษ” แต่ในระบบนิรายนะ เราอาจเป็น “ชาวราศีมีน” และสิ่งนี้จะเปิดประตูสู่ “อีกมิติหนึ่งของตัวตน” ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อเรายอม “อยู่กับฟ้านั้นอย่างสงบ” ดวงดาวจะค่อย ๆ เปิดเผย “ความจริงของเราเอง”
บทสรุปแห่งบทที่ ๑
โหราศาสตร์พระเวท คือศาสตร์แห่ง “กาละ” ที่สืบทอดมาจากมหาฤๅษี เพื่อให้มนุษย์เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง “ฟ้า” กับ “ชีวิต” การส่ายของแกนโลก (Precession of the Equinoxes)ทำให้จุดวสันตวิษุวัตเคลื่อนถอยหลัง และเป็นสาเหตุของความต่างระหว่าง “สายนะ” และ “นิรายนะ” สายนะ (Tropical) มองฟ้าผ่านฤดูกาลนิรายนะ (Sidereal) มองฟ้าผ่านตำแหน่งจริงของดาว ทั้งสองระบบไม่ขัดแย้งกัน เพราะเป็น “สองกระจกแห่งจักรวาล” ที่สะท้อนคนละมิติของความจริง การรู้ทั้งสองระบบ คือการรู้จัก “ตัวตนของเราในโลก” และ “ตัวตนของเราในจักรวาล”และเมื่อเรารวมทั้งสองเข้าด้วยกัน —เราจะเข้าใจ “ตัวเราในทุกขณะของกาลเวลา” ได้อย่างสมบูรณ์
“ชีวิตเป็นเช่นไร ก็เพราะเวลาเป็นเช่นนั้น” โหราศาสตร์จึงไม่ใช่เพียงศาสตร์ของดาว แต่คือ “กระจกแห่งกาลเวลา” ที่ทำให้เรารู้จักตัวเองในทุกภพ ทุกชาติ และทุกขณะของการมีชีวิต สรุปวันนี้จบทนเรียนที่ 1 ทั้ง 4 ตอนแล้วครับ ส่วนบทเรียนที่ 2 กำลังจะเริ่มต้นเร็วๆนี้ครับ
*******************************
*เรียนโหราศาสตร์ภารตะ(โหรพระเวท)ฟรี ได้ที่นี่ ศึกษาจากบทเรียน อ่านได้ที่นี่ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/2016-09-26-02-29-18/219-astrology-lesson.html
*แหล่งรวมความรู้โหราศาสตร์ภารตะ อ่านได้ที่นี่ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/2016-09-26-02-29-18.html
*กดติดตาม เพื่ออ่านบทเรียนใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์ Napat Patrapongphaiboon (Astro Neemo)
*******************************
บริการของเรา
ดูฤกษ์ออกรถ ดูฤกษ์ยกเสาเอก ดูฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ดูฤกษ์เปิดกิจการใหม่ ดูฤกษ์จดทะเบียนบริษัท ดูฤกษ์แต่งงานพิธีไทย-ฤกษ์จดทะเบียนสมรส ดูฤกษ์เปลี่ยนชื่อ ดูฤกษ์ตั้งศาลพระภูมิ ดูฤกษ์เข้าทำงานใหม่ ดูฤกษ์ลาสิกขาบท ดูฤกษ์โกนผมไฟ ดูฤกษ์ผ่าคลอด ดูฤกษ์มงคลอื่นๆ
ดูฮวงจุ้ย-แก้ฮวงจุ้ย คำนวนดวงพิชัยสงคราม-เสริมดวง-แก้ดวง ดูดวงชะตาด้วยโหราศาสตร์พระเวท(โหรภารตะ)
กดติดตาม เพื่ออ่านบทความใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์
*******************************