โหราศาสตร์พระเวท(ภารตะ)

บทเรียนโหราศาสตร์พระเวท(ภารตะ) อารัมภบท 

โหราศาสตร์ภารตะหรือโหราศาสตร์พระเวทได้มีการเผยแพร่ในประเทศไทยเมื่อไม่เกิน 70-80 ปีที่ผ่านมา ซึ่งโหราศาสตร์ภารตะกับโหราศาสตร์ไทย มีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมากเนื่องจากมีต้นกำเนิดเดียวกัน ซึ่งทำให้ผู้ที่เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ไทยอยู่แล้ว ก็สามารถศึกษาต่อยอดได้ทันที เพียงแต่ปรับทัศนคติและหลักการต่างๆให้สอดคล้องกัน พร้อมทั้งมีการทดลอง ทดสอบ และพิสูจน์ผล จนได้เป็นที่ประจักษ์ แล้วจึงค่อยเชื่อและศึกษา

ผู้เขียนเองก็ศึกษาโหราศาสตร์ไทยมาก่อน แต่เมื่อถามถึงเหตุผล หลักการและทฤษฎีต่างๆ ก็ไม่มีครูอาจารย์ท่านไหนตอบได้ ตัวอย่าง เช่น ดาวที่ได้ตำแหน่งเกษตร ดาวที่เป็นอุจน์ ดาวเป็นนิจ ราศีและเรือนทั้ง 12 และชื่อนักษัตรต่างๆ เช่น ราศีเมษ ราศีพฤษภ ราศีมิถุน ,หรือชื่อนักษัตร หรือดาวฤกษ์ อัศวินี ภรณี กฤติกา โรหิณี ฯลฯ ชื่อเรือนต่างๆ เช่น  ตนุ กดุมภะ สหัชชะ ซึ่งทำไมจึงเป็นภาษาสันสฤกตแทบทั้งสิ้น รวมถึงวิธีการคำนวนตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้าจากพระคัมภีร์สุริยาตร์มีที่มาและมีวิธีคิดอย่างไร ก็เลยจำเป็นต้องไปหาคำตอบ

ย้อนกลับไปศึกษาต้นกำเนิดเพื่อหาคำตอบ 

ผู้เขียนเองจึงได้สืบค้นว่าโหราศาสตร์ไทยนั้น มีที่มามาจากโหราศาสตร์โบราณของอินเดีย เรียกว่า “ชโยติษศาสตร์” หรือโหราศาสตร์พระเวท เนื่องจากวิชานี้มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนภารตะ เราจึงเรียกว่า”โหราศาสตร์ภารตะ”

เมื่อได้ศึกษาจากต้นกำเนิดดั้งเดิม ก็จึงได้คำตอบทั้งหมด อย่างไร้ข้อกังขาใดใด เช่น ดาวที่ได้ตำแหน่งเกษตร ดาวที่เป็นอุจน์ ดาวเป็นนิจ ราศีและเรือนทั้ง 12 และชื่อนักษัตรต่างๆ เช่น อัศวินี ภรณี ฯลฯ ชื่อเรือน ตนุ กดุมภะ สหัชชะ ฯลฯ มีที่มาจากโหราศาสตร์ภารตะทั้งสิ้น ทั้งหลักการ ทฤษฎี มีความสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ สืบเนื่องความแม่นยำมากว่า 5000 พันปี

รวมถึงวิธีการคำนวณตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้าจากพระคัมภีร์สุริยาตร์ของไทยก็มีที่มาจาก”คัมภีร์สุริยะสิทธานตะ”ของอินเดีย ซึ่งจริงๆมีวิธีคำนวนมากถึง 5 แบบ หรือ 5 คัมภีร์ เรียกว่า “ปัญจะสิทธานตะ”  แต่ในยุคปัจจุบันทุกคนยอมรับ”คัมภีร์สุริยะสิทธานตะ”เป็นการคำนวนตำแหน่งดวงดาวที่ใกล้เคียงกับวิชาดาราศาสตร์สมัยใหม่มากที่สุด

โหราศาสตร์ภารตะซึ่งผ่านกาลเวลามานับพันๆปี ซึ่งแต่และยุคก็มีหลักวิชา หรือทฤษฎีเป็นของตนเอง และก็มีพัฒนาการในแต่ละท้องถิ่น เช่น โหราศาสตร์อินเดียเหนือ อินเดียใต้ หรืออินเดียตะวันตก ถึงแม้จะมีทฤษฎีที่แตกต่างหลากหลาย แต่ละบูรพาจารย์ ในแต่ละยุค ในแต่ละภูมิภาค แต่กลับไม่มีความขัดแย้งกัน จนถึงขนาดที่จับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะทุกๆสายทุกๆศาสตร์สามารถสอบทานย้อนกลับไปหาต้นกำเนิดเดิมได้ เพราะมีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกันคือ”คัมภีร์พระเวท”ของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์

การศึกษาวิชาโหร นอกจากจะทำให้เราคิดได้หลายแง่มุมแล้ว ยังทำให้รู้ว่าเวลาใดควรทำอะไร และไม่ควรทำอะไร รู้จักรอคอยจังหวะ และโอกาส ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่หลงไปกับสิ่งยั่วยุรอบข้าง ไม่เชื่อใครง่าย รู้จักใช้เหตุและผล และรู้จักยับยั้งชั่งใจ

ในสมัยก่อน นักปกครอง แม่ทัพ แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินยังต้องเรียนวิชานี้ เพราะเป็น 1 ในศิลปศาสตร์ 18 ประการที่ต้องเรียน พระเจ้าแผ่นดินและแม่ทัพ นักปกครองในสมัยก่อน เรียนไปก็ไม่ใช่เอาไปดูดวงให้ชาวบ้าน แต่เป็นการฝึกสมอง สอนวิธีคิด สอนให้รู้จักแยกแยะ สอนให้มีความสุขุมคัมภีรภาพ และสร้างเสริมเชาว์ปัญญา ลองดูครูอาจารย์ทางโหร แต่ละท่านอายุมากๆ แต่สมองยังดีเฉียบคม เหมือนคนหนุ่มๆ และไม่เป็นอัลไซเมอร์ด้วย

โหราคณิตศาสตร์-ดาราศาสตร์

การเรียนโหรนอกจากจะทำให้เพิ่มศักยภาพของสมองแล้ว ยังสอนให้สมองรู้จักนึกคิด รู้จักสร้างจิตนาการ รู้จักใช้สมการ และแก้สมการ

ทฤษฎีของโหราศาสตร์อยู่บนพื้นฐานของโหราคณิตศาสตร์ เช่น แคลคูลัส ตรีโกณมิติ และพีชคณิต  เป็นสาขาหนึ่งในสามสาขาหลักในทางคณิตศาสตร์ ร่วมกับเรขาคณิต ซึ่งก็คือวิชาดาราศาสตร์โบราณและนำมาพัฒนาจนมาเป็นวิชาดาราศาสตร์ในปัจจุบัน และ การวิเคราะห์ (analysis) พีชคณิตเป็นการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้าง ความสัมพันธ์ และจำนวน พีชคณิตและรวมไปถึงการศึกษาสัญลักษณ์ ตัวแปร และเซ็ต(คณิตศาสตร์เชิงนามธรรม) 

นอกจากนี้ยังรวมถึงตรรกศาสตร์ คือ การศึกษาเชิงปรัชญาว่าด้วยการให้เหตุผล อภิปรัชญา ปรัชญาสางขยะ ทวิลักษณ์ เวทานตะ ธรรมศาสตร์ อรรถศาสตร์  และคัมภีร์พระเวท อย่างที่เคยบอกว่า ดูดวงๆหนึ่ง นอกจากจะต้องดูระยะเชิงมุม จากลัคน์ 1 และดาวเคราะห์ทั้ง 7 อุปเคราะห์อีก 2 รวม 9  และดูราศีอีก 12 ราศี  แต่หากดูลึกลงไปอีกในระดับตรียางค์คือ 36 ตรียางค์  และหากดูลึกถึงไส้ชาตาคือนวางศ์จักร ซึ่งมี 108 ลูกนวางศ์ ซึ่งระยะเชิงมุมหรือเรียกว่าทรรศนสัมพันธ์ทั้งหมด ระหว่างดาวเคราะห์และราศี ตรียางค์ รวมนวางศ์ ซึ่งดวงๆหนึ่งโหรผู้เชี่ยวชาญมองปราดเดียวก็จะเห็นความสัมพันธ์ได้ทั้งหมด

โหรทำได้อย่างไร คือตอบคือ หากเรียนวิชาโหรลำดับทีละขั้นตอน ทฤษฎีของโหราวิทยา ก็จะสร้างระบบ logical diagram (แผนภูมิตรรกะ)ให้กับสมองทีละน้อยๆ จนสมองสามารถสร้างระบบความสัมพันธ์ของระยะเชิงมุมต่างๆได้เป็นแผนภูมิตรรกะแบบ 3 มิติ หากคนที่ไม่ได้เรียนโหรเห็นรูปดวงชาตา ก็จะเห็นเป็นเพียงกระดาษ 2 มิติแผ่นเดียว แต่สมองของโหรกลับมองอีกแบบกลายเป็นภาพ 3 มิติซ้อนกันเป็นชั้นๆ มุมรังสีของดวงดาวสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อน ตัวอย่างเช่น ดวงนวางศ์จักร ก็คือระบบจานรังสีซ้อนกัน 9 ชั้น  ทั้งนี้เป็นการมองเพียงปราดเดียวเท่านั้น

จนสุดท้ายระบบ logical diagram ในสมองก็จะคัดกรองทรรศนสัมพันธ์ระยะเชิงมุมให้เหลือจนน้อยที่สุด เข้มข้นที่สุด เพียงไม่กี่ตำแหน่ง เพื่อให้โหรสามารถนำมาวินิจฉัย และนำมาใช้พยากรณ์ได้ จากตำแหน่งดวงดาว ราศี เรือนชะตา ที่สัมพันธ์กัน แปลออกมาได้นับหมื่นนับพันความหมาย โหรที่มีความสามารถสามารถคัดกรองคำพยากรณ์ ให้ออกมาให้เหลือเพียงความหมายเดียวได้อย่างแม่นยำ

โหราศาสตร์ใช้หลักสถิตินำมาทำนายใช่หรือไม่

หลายคนเข้าใจผิดว่า โหราศาสตร์ใช้หลักสถิติและความน่าจะเป็นมาใช้ในการพยากรณ์ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น การตั้งดวงอีแปะ แบบโหรไทย ที่มีเฉพาะดาวทั้ง 9 ดวง ราศีทั้ง 12 ลัคนาทั้ง 12 ลัคนา โดยไม่ใช้องศา และคำนวนว่า ดวงชะตาของคนบนโลกนี้ มีโอกาสที่ตำแหน่งดาวเคราะห์และลัคนาที่มีรูปแบบไม่ซ้ำกัน ในดวงชะตามีได้ทั้งหมดกี่รูปแบบแบบ 

ตัวอย่าง -โหราศาสตร์คือการจัดกลุ่มการเรียงและสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งดาวเคราะห์ในรูปแบบเชิงตรรกะเฉพาะมีองค์ประกอบ 3 ประการ:

1. จักรราศี – 12 ราศี แต่ละราศีมีองศา 30 องศา ราศีเหล่านี้คือโอกาสที่ตำแหน่งที่ดาวเคราะห์ทั้ง 9 สถิตในราศีนั้นๆ

2. ดาวเคราะห์ – ดาวเคราะห์มีทั้งหมด 9 ดวง คือ – พระอาทิตย์ พระจันทร์ อังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดาวราหู และดาวเกตุ

3. ลัคนา (ลัคนา) – ในช่วงขณะเวลาที่เราเกิด ราศีที่ขึ้นทางทิศตะวันออกบนขอบฟ้า เรียกว่าลัคนา  มี ทั้งหมด 12 ลัคนา (เหมือนราศี) 

จากตำแหน่งดาวเคราะห์ในราศีใดใด และลัคนาใดใด – คำถามคือ ดวงชะตาสามารถมีรูปแบบที่ไม่ซ้ำกันได้กี่รูปแบบ?

(1.)ดาวอาทิตย์ - สามารถสถิตอยู่ในราศีใดใดได้ 12 รูปแบบ (2.)ดาวจันทร์ - 12 รูปแบบ (3.)ดาวอังคาร - 12 รูปแบบ (4.)ดาวพุธ - 3 รูปแบบ  (5.) ดาวพฤหัสบดี - 12 รูปแบบ (6.)ดาวศุกร์ - 5 รูปแบบ (7.) ดาวเสาร์ - 12 รูปแบบ (8.) ดาวราหู - 12 รูปแบบ (8.)เกตุ(สากล) – 1 รูปแบบ (9.)ลัคนา - 12 รูปแบบ

รูปแบบนี้คือ ลัคนาและดวงดาวต่างๆเหล่านี้ยังต้องมีการเรียงลำดับ การจับคู่และการสลับสับเปลี่ยน ซึ่งรูปแบบแต่ละรูปแบบจะต้องไม่ซ้ำกันเลย ดังนั้นผลที่ได้คือ จำนวนจัดวางรูปแบบดวงชะตาทั้งหมด = 12 x 12 x 12 x 3 x 12 x 5 x 12 x 12 x 1 x 12 = 537,477,120 รูปแบบ

ดังนั้นคนบนโลกนี้จะมีประมาณ 500 ล้านคน ที่มีดวงชะตาที่ไม่ซ้ำกันเลย(แบบดวงอีแปะ) ปัจจุบันคนบนโลกนี้มีประมาณ 7000 ล้านคน ก็จะมีคนที่มีดวงชะตาที่มีรูปแบบซ้ำกันหรือเหมือนกันอยู่มากถึง 14 คน

นี่คือผลลัพธ์ของดวงอีแปะก็มากถึง 500 ล้านรูปแบบ และหากนำองศาของลัคนาและองศาดาวทุกดวงมาจัดรูปแบบที่ไม่ซ้ำกันเลย รูปแบบของดวงชะตาที่จะมีมากกว่านี้พันเท่าทวีคูณ ดังนั้นจึงไม่มีปูมโหรใดใดมาจัดทำและบันทึกเป็นสถิติใดใดได้เลย

โหราศาสตร์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ หากเราเข้าใจทฤษฎีอย่างถ่องแท้ และเข้าใจความสัมพันธ์ของทฤษฎีต่างๆนำมาผสมผสานกัน ก็สามารถที่จะถอดความหมายของดวงชะตาที่มีหลากหลายรูปแบบได้อย่างไม่จำกัด เหมือนจิตรกรที่เข้าใจเรื่องสี การผสมสี การใช้เส้นและแสงเงา ก็สามารถที่จะนำมาถ่ายทอดออกมาเป็นภาพศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

ยกตัวอย่างคนเล่น”โกะ” หรือ”หมากรุกจีน” หรือหมากรุกประเภทอื่นๆ ผู้ที่เชี่ยวชาญก็จะต้องมองดูทั้งกระดาน แล้วสร้างแผนภูมิตรรกะ หรือ สมมุติว่า ถ้าเดินแบบนี้ ก็จะเกิดผลแบบนี้ คู่ต่อสู้ก็จะโต้กลับมาแบบนี้ และเมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ เหตุการณ์ที่จะมีโอกาสเป็นไปได้ต่อๆไปจะเป็นอย่างไร คิดไว้ล่วงหน้าไว้เป็นทอดๆ และศึกษาความเป็นไปได้ในทุกๆแง่มุม ซึ่งผู้เล่นทั้งสองฝ่ายก็จะต้องสมมุติเหตุการณ์เอาไว้ล่วงหน้าหลายๆชั้น ซึ่งอาจจะมีหลายร้อยหลายพันรูปแบบ ดังนั้นผู้เล่นทั้งสองฝ่ายต้องดูทั้งกระดานแล้วมาพยากรณ์การเดินหมากของฝ่ายตรงข้าม

โหราศาสตร์ก็เช่นกัน ในการพิจารณาดวงชะตาจะไปมองดูดาวดวงเดียว ราศีเดียว แล้วนำมาพยากรณ์นั้นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง  นักโหราศาสตร์ก็ต้องดูแผนภูมิดวงชะตาทั้งหมด ดังที่อธิบายข้างต้น เหมือนนักเล่นหมากรุก กลั่นกรองความน่าจะเป็นและแปรความหมายนับหมื่นนับพันความหมาย ให้เหลือความจริงเพียงหนึ่งเดียว แล้วจึงออกคำพยากรณ์

วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยผลกรรม

วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยผลกรรมของมนุษย์ทั้งปัจจุบันชาติ (กรรมใหม่) และอดีตชาติ (กรรมเก่า) โดยมีดวงดาว ราศี นักษัตรฤกษ์เป็นตัวชี้วัดตัดสิน จะเรียกดวงชาตาว่าเป็นแผนที่กรรมก็ได้ ซึ่งเรื่องเหตุต้นผลกรรมเป็นความเชื่อมาแต่โบราณตั้งแต่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาเชน ฯลฯ และสอดคล้องกับกรรมในทางพุทธศาสนา

ทฤษฎีและสมการทางโหราศาสตร์ถือว่า ดวงดาว ราศีและนักษัตรล้วนแล้วแต่มีรังสีและอิทธิพลต่อโลกและจักรวาล รวมถึง ความนึกคิดจิตใจของมนุษย์และสัตว์ ตลอดจนแม้วัตถุ ธาตุต่างๆในสากลพิภพ ในขณะหนึ่งๆ หรือวินาทีหนึ่ง กระแสบรรยากาศของโลกย่อมได้รับพลังรังสีจากดวงดาวเบื้องบนฟากฟ้าตลอดเวลาทุกๆวินาที มีการเปลี่ยนแปรและผสมผสานกันกลายเป็นพลังขับคลื่อนสรรพสิ่งต่างๆในโลกใบนี้

ดังนั้นเมื่อสัตว์ไปจนถึงมนุษย์ถือกำเนิดมาในขณะใด ก็ย่อมได้รับพลังรังสีของดวงดาวต่างๆในขณะนั้นๆ ผสานเข้าไปในลมหายใจ(ปราณ)จนกลายเป็นดวงชาตากำเนิด  ใครทำกรรมดีมาย่อมถือกำเนิดในฤกษ์ดี มีดวงดาวโคจรสถิตในตำแหน่งดี ผลย่อมกลายเป็นคนดวงดี มียศศักดิ์ ลาภยศ ชื่อเสียงเงินทอง และจะได้รับผลดีดังกล่าวไปตามลำดับการเสวยอายุของดวงดาวแต่ละดวงในดวงชาตา

แต่หากใครเคยทำกรรมชั่วมาเกิด ผลย่อมตรงกันข้าม ก็จะเกิดในฤกษ์ร้าย ดาวเคราะห์ในดวงชาตาอยู่ในตำแหน่งเสีย ผลก็จะกลายเป็นคนทุกข์ยาก อนาถา ยากจน เป็นโจร ขอทาน หรือ ไปสู่ความตกต่ำอื่นๆ และจะได้รับผลร้ายดังกล่าวไปตามลำดับการเสวยอายุของดวงดาวแต่ละดวงในดวงชาตา หรือหากทำบุญผสมปาป ก็จะได้ถือกำเนิดในขณะที่ดาวเคราะห์ โคจรไปทางดีและร้าย

เมื่อทารกคลอดจากครรภ์มารดาในขณะใด และในขณะเดียวกันนั้นบนฟากฟ้าดวงดาวมีการโคจรอย่างไร ก็จะถูกนำมาคำนวนเป็นดวงชาตากำเนิด หรือเรียกว่า “ผูกดวง” และนำมาใช้พยากรณ์ ไปทั้งชีวิต

ดวงชะตาของคนเราถูกแบ่งออกเป็น 2 ดวงชะตาเสมอ

อย่างไรก็ตาม อิทธิพลรังสีของดวงดาวที่มีต่อชาตาชีวิตถูกแบ่งเป็นช่วง  2 ช่วง หรือ 2 ดวงชะตา

1. ช่วงปฏิสนธิ และอยู่ในครรภ์ ในขณะที่ทารกปฏิสนธิก็จะได้รับรังสีจากดาวเคราะห์ผ่านปราณ(ลมหายใจ)ของบิดามารดา รวมถึงพีชะ (ยีน)รหัสพันธุกรรมของทั้งฝ่ายบิดา-มารดา ช่วงนี้จะกำหนด เพศ ผิวพรรณ รูปร่างหน้าตา อวัยวะและความสมบูรณ์ของทารก ในโหราศาสตร์จีนและแพทย์แผนจีนจะเรียกช่วงอยู่ในครรภ์มารดาว่า (ภูมิก่อนฟ้า-先天) ซึ่งในช่วงปฏิสนธินี้ถือว่าเป็นกรรมนำแต่งให้ผล 100 เปอร์เซ็นต์แก้ไขไม่ได้เลย เช่น เด็กในครรภ์พิการมาแต่กำเนิด  หรือสีผิวพรรณ เพศ ฯลฯ ล้วนแต่ถูกกำหนดมา 100%

2.  ช่วงถือกำเนิด หรือ คลอดออกมาจากครรภ์มารดา ซึ่งสำคัญมากและดวงชาตากำเนิดนับจากจุดนี้ ซึ่งหากทารกถือกำเนิดในฤกษ์ใด หรือดาวเคราะห์โคจรสถิตในราศีใด ชาตาชีวิตก็จะเป็นไปตามลิขิตของดวงดาวในขณะที่เกิดนั้น ซึ่งอิทธิในช่วงนี้จะกำหนด ชาตาชีวิต สูง-ต่ำ อารมณ์ ความสามารถ สติปัญญา ตำแหน่งและฐานะ ครอบครัว ฯลฯ ตลอดจนอายุขัยของคนๆนั้น ในโหราศาสตร์จีนและแพทย์แผนจีนจะเรียกช่วงอยู่ในครรภ์มารดาว่า (ภูมิหลังฟ้า-后天) ช่วงที่ 2 นี้เรียกว่าดวงชาตา ที่เรานำมาทำนายกัน ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง

มีคำถามว่าดวงชาตาถูกลิขิตมาแล้ว แก้ไม่ได้จริงหรือไม่ ？

หากแก้ไขไม่ได้แล้วจะเรียนรู้โหราศาสตร์ไปทำไม ？ เมื่อโหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่บ่งชี้กรรมดี-ชั่วที่เราจะได้เสวยผลวิบากในชาตินี้ แล้วหากเราเปลี่ยนหรือสร้างกรรมใหม่ จะลดล้างกรรมเก่าในดวงชาตาได้หรือไม่ ？คำตอบก็คือ ดวงกำเนิดบางคนถูกอิทธิพลของดวงชาตาครอบงำ 100 เปอร์เซ็นต์แบบแก้ไขอะไรไม่ได้ เช่นเกิดมาพิการ บ้าใบ้ ปัญญาอ่อน แต่บางคนก็มีสัดส่วนอิทธิพลกรรมเก่าและกรรมใหม่ในดวงชาตาแตกต่างกันไป บางคน 100 เปอร์เซ็นต์ ,บางคน 70/30 บางคน 80/20 บางคน 50/50 เช่น บางคนถูกกรรมเก่าครอบงำมาเต็มที่ว่าจะต้องเป็นโจร เวลาเกิดดวงดวงก็ชี้บ่งว่าจะต้องเป็นโจร เกิดมาก็จะกลายเป็นชอบลักเล็กขโมยน้อยมาแต่เล็ก ชอบอยากได้ของคนอื่น ฯลฯ สุดท้ายก็กลายเป็นโจรตามดวงชาตา

แต่บางคนดวงชาตาถูกลิขิตมาให้เป็นคนยากจน 70 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์เราก็แก้ได้ เมื่อเรารู้ดวงเราก็พยามแก้ดวงดวง โดยการขยันทำมาหากิน หมั่นเก็บเล็กผสมน้อย  จนกลายเป็นมีฐานะพออยู่พอกินก็พ้นจากความยากจนไปได้

บางคนดวงชาตาลิขิตให้รวย 70 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์เราอาจะเพิ่มความร่ำรวยให้มากขึ้นได้ โดยขยันทำมาหากิน แต่หากเราคิดว่ารวยแล้วไม่ยอมสร้างกรรม(ดี)ใหม่ ดวงชาตาก็จะให้รวยแค่ช่วงใดช่วงหนึ่งในชีวิตแค่นั้น

สรุปการแก้ดวงชาตา แต่โบราณมามีมากมายหลากหลายวิธี เช่น เซ่นสรวงบูชา ทำพิธีเคราะห์ศานติ สะเดาเคราะห์ แต่วิถีแนวพุทธ คือการสร้างกรรมดีใหม่ สั่งสมบุญกุศลนั้นได้ผลมากที่สุด บทสรุปของผู้เขียนที่ได้ศึกษามาทั้งโหราศาสตร์ไทยและโหราศาสตร์ภารตะ  อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นศาสตร์เดียวกัน เป็นวิชาเดียวกัน มีความแม่นยำดุจกัน แต่โหราศาสตร์ไทยอาจจะมีมติของโหราจารย์ฝ่ายไทยของไปแทรกเข้าไปเป็นส่วนมาก ซึ่งก็มีหลายมติ หรือหลายอาจารย์ ในหลายๆยุค จนกลายเป็นเอกลักษณ์พิเศษของโหราศาสตร์ไทย

การศึกษาโหราศาสตร์ภารตะในประเทศไทย   

ส่วนการศึกษาโหราศาสตร์ภารตะในเมืองไทย ก็ได้มีท่านผู้รู้โดยเฉพาะหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร)  ท่านอาจารย์รัตน์ และ ศิระ นามะสนธิ  พันเอกประจวบ วัชรปาณ และ อาจารย์ เทพ สาริกบุตร ซึ่งรวมถึง อาจารย์ยอดธง ทับทิวไม้ ได้นำต้นฉบับภาษาสันกฤต และภาษาอังกฤษ มาแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งมีจำนวนหลากหลายคัมภีร์ เพื่อให้คนไทยได้ศึกษาเมื่อราว 60 ปีกว่ามาแล้ว

ตัวอย่างเช่น คัมภีร์พฤหัตชาดก คัมภีร์ปาริชาติชาดก คัมภีร์ประราสาระโหราศาสตรา คัมภีร์ไชมิณีสูตร คัมภีร์อุตรกาลมฤต คัมภีร์ไตรศตโชคมัญชริ คัมภีร์สตรีชาตก  คัมภีร์โหราวัสดุ (วาสตุศาสตรา) และคัมภีร์อื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก ฯลฯ รวมถึงตำราที่แต่งขึ้นเพิ่มเติม เช่น ตำราศึกษาโหราศาสตร์ภารตะ”โหราวิทยา” ของท่านอาจารย์รัตน์ และ ศิระ นามะสนธิ และ ตำราศึกษาโหราศาสตร์ ของท่านอาจารย์ยอดธง ทับทิวไม้

ซึ่งผู้แปลและแต่งคัมภีร์เหล่านี้ล้วนถือเป็นบรมครู และผู้เผยแพร่โหราศาสตร์ภารตะ หรือ โหราศาสตร์พระเวท ในประเทศไทย เป็นกลุ่มแรก และได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อการศึกษาโหราศาสตร์ภารตะในประเทศไทย 

บทเรียนนี้เป็นการเรียนรู้โหราศาสตร์พระเวทแบบทีละขั้นตอน และจะช่วยให้ผู้ศึกษาได้พิชิตมหาสมุทรแห่งความรู้อันเหนือธรรมชาตินี้! และเป็นบทเรียนโหราศาสตร์ที่จะยกระดับความรู้ของท่านผู้ศึกษาไปสู่ระดับของการบรรลุถึงศักยภาพทางปัญญาอันสูงสุดและการเข้าถึงญาณวิทยาแห่งโหราศาสตร์ที่แท้จริง!

บทเรียนนี้เป็นบทเรียนฟรี เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เข้าถึงวิทยาการอันล้ำลึกของโหราศาสตร์ได้อย่างทั่วถึง โดยไม่มีจำกัด อีกทั้งเป็นพื้นฐานสำหรับการต่อยอดและพัฒนาการศึกษาโหราศาสตร์ภารตะในขั้นสูงต่อไป

บทเรียนเหล่านี้ ท่านสามารถนำไปเผยแพร่ได้ไม่จำกัด เพียงแต่ห้ามนำไปซื้อขาย และที่สำคัญต้องอ้างอิงแหล่งที่มา เท่านั้นก็เพียงพอ

ขอแสดงความนับถือ

ณภัทร ศรีจักรนารท (Astro Neemo)  

8 กันยายน 2568

 

******************************* 

*เรียนโหราศาสตร์ภารตะ(โหรพระเวท)ฟรี ได้ที่นี่  ศึกษาจากบทเรียน อ่านได้ที่นี่ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/2016-09-26-02-29-18/219-astrology-lesson.html

*แหล่งรวมความรู้โหราศาสตร์ภารตะ อ่านได้ที่นี่  https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/2016-09-26-02-29-18.html

*กดติดตาม เพื่ออ่านบทเรียนใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์  Napat Patrapongphaiboon (Astro Neemo)

*******************************

บริการของเรา 

ดูฤกษ์ออกรถ  ดูฤกษ์ยกเสาเอก   ดูฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่   ดูฤกษ์เปิดกิจการใหม่  ดูฤกษ์จดทะเบียนบริษัท   ดูฤกษ์แต่งงานพิธีไทย-ฤกษ์จดทะเบียนสมรส   ดูฤกษ์เปลี่ยนชื่อ  ดูฤกษ์ตั้งศาลพระภูมิ  ดูฤกษ์เข้าทำงานใหม่   ดูฤกษ์ลาสิกขาบท   ดูฤกษ์โกนผมไฟ   ดูฤกษ์ผ่าคลอด   ดูฤกษ์มงคลอื่นๆ
ดูฮวงจุ้ย-แก้ฮวงจุ้ย  คำนวนดวงพิชัยสงคราม-เสริมดวง-แก้ดวง   ดูดวงชะตาด้วยโหราศาสตร์พระเวท(โหรภารตะ) 

กดติดตาม เพื่ออ่านบทความใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์

*******************************