บทเรียนที่ 1 จักรวาลสองระบบ ที่อยู่บนฟ้าเดียวกัน (1)
สวัสดีครับ หลังจากปูพื้นฐานแนวคิดและปรัชญาของโหราศาสตร์พระเวท หรือโหราศาสตร์ภารตะ มาหลายบทความไปแล้ว และวันนี้เราก็จะมาเริ่มเรียน โหราศาสตร์พระเวท หรือ โหราศาสตร์ภารตะ บทที่ 1 กันเลย บทเรียนนี้เป็นการเรียนการสอนออนไลน์ฟรี สำหรับผู้ที่สนใจ เผยแพร่เป็นวิทยาทาน ผ่านทางเว็บไซด์ อาศรมศรีจักรนารท https://www.astroneemo.net/
แต่บทเรียนนี้ไม่ใช่บทเรียนโหราศาสตร์ขั้นพื้นฐาน แต่เป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานโหราศาสตร์มาบ้างแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่เคยศึกษาโหราศาสตร์ไทย หรือโหราศาสตร์สากลมาก่อน ก็จะได้รับประโยชน์จากบทเรียนนี้ได้อย่างเต็มที่ เพียงแค่ปรับแนวคิดและทรรศนคติ และนำทฤษฎีต่างๆของโหราศาสตร์พระเวท ที่เราไม่เคยรับรู้มาก่อน นำมาทดลอง และทดสอบทฤษฎีต่างๆ เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รวมถึงทดสอบความแม่นยำในการพยากรณ์ ซึ่งผมจะค่อยๆเรียนเรียงเขียนขึ้นทีละตอนๆ ซึ่งจะช่วยให้ท่านผู้อ่านได้เรียนรู้วิทยาการของโหราศาสตร์ภารตะโหราไปทีละขั้นๆ ตามลำดับ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า "วิชาโหราศาสตร์"ก็คือ"วิชาดาราศาสตร์"ที่มีมาแต่โบราณ จนพัฒนามาเป็นวิชาดาราศาสตร์ในปัจจุบัน แต่วิชาดาราศาสตร์ (Astronomy) ในปัจจุบันเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ วัตถุท้องฟ้า เช่น ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดาวหาง และดาราจักร รวมถึง ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเอกภพ โดยจะศึกษาลักษณะทางกายภาพ เคมี การเคลื่อนที่ การกำเนิด และวิวัฒนาการของวัตถุต่างๆเหล่านี้ที่ได้กล่าวมาทั้งหมด
แต่วิชาโหราศาสตร์(Astrology) ซึ่งได้แยกออกมาจากดาราศาสตร์มาเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานี่เอง และเป็นระบบความเชื่อที่อิงกับการตีความเชิงนามธรรมกับปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์และการโคจรของกลุ่มดาว ราศี นักษัตร ฯลฯ และเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถส่งอิทธิพลต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกของเรา เริ่มตั้งแต่ต้นไม้ใบหญ้าไปจนถึงภูผา มหาสมุทร รวมไปถึงชะตาชีวิตของมนุษย์และสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ล้วนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้าทั้งสิ้น โดยไม่มีข้อยกเว้นใดใด
และวิชาโหราศาสตร์ก็เป็นศาสตร์ชั้นสูง ซึ่งเป็นศาสตร์เฉพาะของโหรหลวงในสมัยโบราณ สำหรับพยากรณ์ดวงบ้านดวงเมือง เหตุการณ์ดีร้าย หรือบอกเหตุเพทภัยจากธรรมชาติ รวมไปถึงพยากรณ์ดวงชะตาบุคคลชั้นสูง ทั้งพระราชา มหาอำมาตย์ ราชนิกุล ต่างๆ ส่วนคนธรรมดาสามัญแทบจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสวิชาโหราศาสตร์นี้เลย ส่วนมากปุถุชนคนธรรมดาก็จะใช้วิชาหมอดูหรือวิชาพยากรณ์ทั่วไป แต่ที่ทุกคนสับสนก็คือการเหมารวมว่าศาสตร์พยากรณ์ทุกศาสตร์คือ”วิชาโหราศาสตร์” ซึ่งไม่ถูกต้อง
**ภาพการส่ายของแกนโลกและจุดวสันตวิษุวัต**
โหราศาสตร์ (ज्योतिष – Jyotiṣa – โชติษะ) คือศาสตร์แห่ง “กาลเวลา” (काल – กาละ) และได้รับการยกย่องว่าเป็น “จักษุแห่งปัญญา” (प्रज्ञा चक्षुः – ปฺรชฺญา จกฺษุหฺ) ซึ่งถือกันว่าเป็นศาสตร์อันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาความรู้ทั้งปวงของมนุษย์ (विद्यानां उत्तमं शाखा – วิทยานามฺ อุตฺตมํ ศาขา) ในคัมภีร์พระเวทกล่าวไว้ว่า วิชานี้ถ่ายทอดโดยมหาฤๅษีทั้ง 18 องค์ (अष्टादश ऋषयः – อษฺฏาทศ ฤษยหฺ) ซึ่งเป็นผู้หยั่งรู้แสงแห่งดวงสุริยา (सूर्यविद् – สูรฺยวิทฺ) และเป็นผู้รอบรู้และเข้าใจจังหวะแห่งกาลเวลาหรือกาลจักร (कालचक्र – กาลจกร)
ในประวัติศาสตร์แห่งโหราศาสตร์อินเดีย มีนักปราชญ์ที่สำคัญที่สุด 2 ท่าน คือ
1.มหาฤษีปาราศาระ (पराशर – ปาราศร) ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งโหราศาสตร์ภาคพยากรณ์” (होरा शास्त्र पितामह –โหรา ศาศฺตฺร ปิตามห) โดยท่านคือผู้วางรากฐานทฤษฎีการพยากรณ์ดวงชะตาตามหลักเหตุและกาลเวลา ซึ่งได้ถ่ายทอดไว้ในคัมภีร์อันยิ่งใหญ่ (बृहद् पराशर होरा शास्त्र – พฤหทฺ ปาราศร โหรา ศาศฺตฺร )หรือ “คัมภีร์พฤหัต ปาราศาระ โหรา ศาสตรา” ซึ่งคัมภีร์เป็นแม่บทของโหราศาสตร์พระเวททั้งหมด
2.ท่านวราหมิหิระ (वराहमिहिर – วราหมิหิระ) ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งโหราศาสตร์อินเดีย”หรือ “บิดาแห่งโหราศาสตร์ภารตะภาคคำนวน”(भारतीय ज्योतिष पितामह – ภารตียะ โชติษ ปิตามห) โดยท่านได้รวบรวมความรู้ทางคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และการพยากรณ์ จนกลายเป็นระบบแห่ง “วิชาว่าด้วยแสง(ชโยติษ)และกาลเวลา” ที่สมบูรณ์ที่สุดในยุคคลาสสิก ซึ่งศาสตร์แห่งโหราศาสตร์ภารตะ (भारतीय ज्योतिष – ภารตียะ โชติษะ) ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ
1.สิทธานตะ (सिद्धान्त – สิทธานฺต)
ว่าด้วย “วิชาดาราศาสตร์” – การคำนวณตำแหน่งดาว การเคลื่อนไหวของฟ้า และโหราคณิตศาสตร์ คือ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ขั้นสูง เช่น ตรีโกณมิติ เพื่อคำนวณตำแหน่งของดวงดาวและปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ต่างๆ เช่น คัมภีร์สุรยสิทธานตะ
2.สัมหิตา (संहिता – สํหิตา)
ว่าด้วย “ปรัชญาแห่งดวงดาว” – การเชื่อมโยงฟ้า ธรรมชาติ และเหตุการณ์บนโลก เช่น การพยากรณ์ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว พายุ น้ำท่วม หรือดวงเมือง ทั้งความเจริญและความเสื่อม เช่น คัมภีร์พฤหัตสังหิตา
3.โหรา (होरा – โหรา)
ว่าด้วย “การพยากรณ์” – การแปลความหมายของดวงดาวที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ ทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่ สุข ทุกข์ การงาน การเงิน อาชีพ สุขภาพ อำนาจ วาสนา บารมี ฯลฯ เช่น “คัมภีร์พฤหัต ปาราศาระ โหรา ศาสตรา” ซึ่งคำว่า “Hour” ในภาษาอังกฤษ มาจากคำสันสกฤตว่า होरा – Horā – โหรา ซึ่งหมายถึง “หน่วยของเวลา” หรือ “ขณะหนึ่งของดวงชะตา” ดังนั้น “ทุกชั่วโมง” ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน แท้จริงแล้วคือ “หนึ่งหน่วยของกาลเวลา” ที่สืบเนื่องจากภูมิปัญญาแห่งโหราศาสตร์พระเวทนั่นเอง
สรุปสั้น ๆ นี่คือบทนำแห่งศาสตร์ ชโยติษะ ศาสตรา Jyotiṣa Śāstra — ศาสตร์ที่รวมดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และปรัชญาแห่งกาลเวลาไว้ในหนึ่งเดียว และเป็น “แสงแห่งปัญญา” ที่มนุษย์ได้รับจากท้องฟ้า เป็นครั้งแรก หัวข้อนี้คือ “แกนกลาง” ของบทที่ 1 — ซึ่งผมจะเล่าให้เข้าใจทั้งทาง ดาราศาสตร์ (Astronomy) และ โหราศาสตร์พระเวท (Jyotiṣa) สำหรับใช้เป็นบทเรียน และการศึกษาอ้างอิงต่อไป
จุดวสันตวิษุวัตและวงรอบการส่ายของฟ้า
ศัพท์ทางดาราศาสตร์ใช้คำว่า The Vernal Equinoctial Point and The Precessional Cycle ส่วนศัพท์ทางโหราศาสตร์ซึ่งรจนาเป็นภาษาสันสกฤตใช้คำว่า वसन्त विषुवत् एवं पूर्वगमन चक्र –– วะสันตะ วิษุวัต เอวํ ปูรวคมน จกร
จุดวสันตวิษุวัตคืออะไร
ในคัมภีร์โบราณของอินเดีย จุดวสันตวิษุวัต (Vernal Equinoctial Point – वसन्त ऋतु बिन्दु– วะสันตฤตุ บินฺทุ) เป็นจุดสำคัญที่สุดบนสุริยวิถี (Ecliptic – क्रान्तिवृत्त กฺรานฺติวฤตฺต) เพราะเป็นตำแหน่งที่ดวงอาทิตย์โคจรข้ามเส้นศูนย์สูตรฟ้า (Celestial Equator – विषुववृत्त วิษุววฤตฺต) จากขอบทางด้านใต้ขึ้นไปสู่ขอบทางด้านเหนือ —และวันนี้ก็จะเป็นวันที่ช่วงเวลาที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากันพอดี
ในภาษาสันสกฤตเรียกจุดนี้ว่า वसन्तऋतु बिन्दु –วะสันตฤตุ บินฺทุ, แปลว่า “จุดแห่งฤดูวสันต์” หรือ “จุดเริ่มต้นแห่งวสันตะฤดู” และเรียกการเคลื่อนของมันว่า पूर्वसरण– ปูรวสรณะ, ซึ่งหมายถึง “การเคลื่อนล่วงหน้า” หรือ “การส่ายของฟ้า”
โดยในประเทศอินเดีย ปกติมีเพียง 3 ฤดู แต่ในทฤษฎีของพระเวทก็ได้แบ่งย่อยออกเป็น 6 ฤดู คือ
(1.) เหมันตฤดู หรือ เหมันตะฤดู คือ ฤดูหนาว (เดือนจิตตรา-วิสาขะ) ราศีเมษ-พฤษภ (2.) สิสิรฤดู หรือ ศิศิระฤดู คือ ฤดูหมอกหรือฤดูน้ำค้าง (เดือน มาฆะ-ผลาคุณะ) กุมภ์-มีน
(3.) วสันตฤดู หรือ วสันตะฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนจิตตรา-วิสาขะ) ราศีเมษ-พฤษภ (4.) คิมหันตฤดู หรือครีษมะฤดู คือ ฤดูร้อน (เดือนเชษฐะ-อาษาฒะ) ราศีมิถุน-กรกฏ
(5.) วัสสานฤดู หรือ วรรษาฤดู คือ ฤดูฝน (เดือนศรวณะ-ภัทรปท) ราศีสิงห์และกันย์ (6.) สารทฤดู หรือ ฤดูใบไม้ร่วง คือ (เดือนอสะวิชะ-การติกะ) ราศีตุลย์-พิจิก
วงรอบการส่ายของฟ้า The Precessional Cycle
โดยโบราณคณาจารย์ชาวอินเดียได้คำนวณวงรอบการส่ายนี้ไว้อย่างละเอียด และเรียกว่า विषुव पूर्वगमन चक्र –– วิษุว ปูรวคมน จกร,แปลว่า “วงรอบการเคลื่อนของจุดวิษุวัต”เมื่อคำนวณด้วยค่าการส่ายของแกนโลก (Earth’s axial precession) พบว่า จุดวสันตวิษุวัตจะ “ถอยหลัง” ไปทางทิศตะวันตกบนสุริยวิถี ในอัตราเฉลี่ย 1 องศา ทุก ๆ 72 ปี ดังนั้นการเคลื่อนครบหนึ่งจักราศี (360° × 72 ปี) จะใช้เวลาทั้งหมด 25,920 ปี
ซึ่งวงรอบการส่ายของจักรวาลนี้ทางตะวันตกเรียกว่า The Great Year หรือ“ปีอภิวรรษ” ส่วนในคัมภีร์ดาราศาสตร์อินเดีย เรียกช่วงเวลานี้ว่า विषुव पूर्वगमन चक्रकाल – วิษุว ปูรวคมน จกรกาละ,หรือ “กาละแห่งการส่ายของจุดวิษุวัต”
ในระบบโหราศาสตร์ “ปีอภิวรรษ” the Great Year หรือ ปีเพลโต Platonic Year คือวัฏจักรประมาณ 25,920 ปีของการเคลื่อนตัวของวิษุวัต ซึ่งตำแหน่งของดวงอาทิตย์ ณ จุตวิษุวัตจะค่อยๆ เลื่อนผ่านกลุ่มดาวจักรราศีทั้ง 12 ราศีหรือ ใช้ราศีนับเป็นยุคทางโหราศาสตร์
"Great Months"
โดยยุคของโหราศาสตร์ :"Great Months" หรือ"อภิมาส" แต่ละยุคโหราศาสตร์ หรือที่เรียกว่า "อภิมาส" หรือ”เดือน”หรือ "ยุค" มีระยะเวลาประมาณ 2,160 ปี (คือ 25,920 ปี หารด้วย 12) ซึ่งแต่ละยุคกินเวลาประมาณ 2,160 ปี ซึ่งเชื่อมโยงกับราศีจักรอยู่ตลอดเวลา และเชื่อกันว่ามีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์มนุษย์ โดย“ปีอภิวรรษ” ทั้งหมดแสดงถึงวัฏจักรอันยิ่งใหญ่ของยุคหรือช่วงที่ขึ้นและลง คล้ายกับนาฬิกาจักรวาล กลไกการเคลื่อนตัวของจุดวิษุวัตคือ แกนโลกจะสั่นเล็กน้อย ทำให้ตำแหน่งของจุดวิษุวัต (จุดที่ดวงอาทิตย์ตัดผ่านเส้นศูนย์สูตรฟ้าในฤดูใบไม้ผลิ) เลื่อนไปทางทิศตะวันตกตัดกับฉากหลังของดวงดาว
"นาฬิกาจักรวาล"หรือการเลื่อนตัวอย่างช้าๆของจุดวิษุวัตนี้ทำหน้าที่เหมือนนาฬิกาขนาดใหญ่ เคลื่อนที่ผ่านราศีจักรต่างๆ ระยะเวลา: วิษุวัตใช้เวลาประมาณ 25,920 ปีจึงจะหมุนครบ 360 องศาผ่านกลุ่มดาวจักรราศีทั้ง 12 กลุ่ม จึงทำให้ “ปีอภิวรรษ” ได้ดำเนินครบรอบวัฏจักรอย่างสมบูรณ์
"อิทธิพลของราศี" โดยแต่ละยุคหรือ"อภิมาส"นั้นก็ได้รับการตั้งชื่อตามกลุ่มดาวที่ราศีนั้นอยู่ และเชื่อกันว่าได้รับอิทธิพลจากพลังและคุณสมบัติของราศีนั้นๆ "วัฏจักรของยุค" เช่น “ปีอภิวรรษา” มักถูกมองว่าเป็นช่วงที่ยุคขึ้นและยุคลง ซึ่งมีทั้งความเจริญและความเสื่อม โดยมีช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันสอดคล้องกับยุคต่างๆ (เช่น ยุคเมษ ยุคมีน ยุคกุมภ์)
"วัฏจักรทางประวัติศาสตร์" วัฒนธรรมโบราณหลายแห่งตระหนักถึงแนวคิดเรื่องปีอภิวรรษ หรือวัฏจักรอันยาวนานที่คล้ายคลึงกัน โดยใช้แนวคิดเหล่านี้เพื่อทำความเข้าใจการขึ้นลงของประวัติศาสตร์และตำแหน่งของโลกในจักรวาล
ความหมายเชิงสัญลักษณ์:เช่นเดียวกับที่วันหนึ่งมีแสงสว่างและความมืด และอีกปีหนึ่งมีฤดูร้อนและฤดูหนาว ปีอภิวรรษก็ครอบคลุมช่วงเวลาของการเติบโตและความเสื่อมถอย หรือที่เรียกว่า "ยุคทอง" "golden ages" และ "ยุคมืด""dark ages," สำหรับมนุษยชาติ
ความแตกต่างระหว่างระบบจักรวาลของโหราศาสตร์ตะวันตก-โหราศาสตร์ตะวันออก
โหราศาสตร์ตะวันตก-ระบบสายนะ-นักดาราศาสตร์ตะวันตกจะนับ “จุดเริ่มของจักรราศี” จาก 0° เมษ (Aries) ซึ่งเป็นจุดวสันตวิษุวัตในปัจจุบัน และเรียกระบบนี้ว่า सायण राशि – สายน ราศิ, หรือ “จักรราศีแบบสายนะ” (Tropical Zodiac) เพราะใช้ฤดูกาลของโลกเป็นหลักในการนับตำแหน่งดาว บางทีก็เรียกว่าระบบจักราศีเคลื่อนที่
โหราศาสตร์ตะวันออก-ระบบนิรายนะ-ส่วนโหราจารย์อินเดีย (भारतीय ज्योतिषाचार्य – ภารตียะ โชติษาจารฺย)จะคำนวณจากจุดเริ่มที่แท้จริงบนฟ้าคือ 0° ของกลุ่มดาวฤกษ์ชื่อว่าอัศวินี (Asvini / β Arietis) ซึ่งเป็น “ดาวต้นราศีเมษที่แท้จริง”และเรียกระบบนี้ว่า निरायण राशि – นิรายณะ ราศิ,หรือ “จักรราศีแบบนิรายนะ” หรือ(Sidereal Zodiac) คำว่า “Sidereal” มาจากภาษาละติน Sidereus แปลว่า “แห่งหมู่ดาวคงที่” (Fixed Stars – नक्षत्र – Nakṣatra – นกฺษตฺร) หรือกลุ่มดาวฤกษ์(นักษัตร) บางทีก็เรียกว่าระบบจักราศีคงที่
สรุปความเข้าใจจักรวาลสองระบบ ที่อยู่บนท้องฟ้าเดียวกัน
นั่นก็คือ จักราศีทั้ง 2 ระบบนี้ต่างกันที่มีจุดเริ่มราศีแรกของจักรวาล คือราศีเมษที่ไม่ตรงกัน ดังนั้นระบบสายนะ (ตะวันตก) จุดเริ่มต้นของราศีเมษจะเริ่มต้นจาก 0° Aries (Spring Equinox) กับระบบนิรายนะ (อินเดีย) จุดเริ่มต้นของราศีเมษจะเริ่มต้นจาก 0° -ของกลุ่มดาวอัศวินี หรือกลุ่มดาว β Arietis หรือที่รู้จักกันในชื่อ Sheratan เชอราตัน โดยค่าผลต่างระหว่างสองระบบ (อายนางศะ) ~24° ค่าจะเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาหนึ่งรอบการส่าย (Precession Cycle) ก็จะเท่ากับ 25,920 ปี เหมือนกัน
ระบบสายนะ (Tropical Zodiac) คือการกำหนดราศีโดยอิงจากการเริ่มต้นของฤดูกาล (โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิ) ขณะที่นิรายะนะ (Sidereal Zodiac) คือการกำหนดราศีตามตำแหน่งที่แท้จริงของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟ้า ความแตกต่างหลักก็คือ ระบบสายนะจะขยับตำแหน่งราศีไปเรื่อย ๆ เนื่องจากการส่ายของแกนโลก (Precession of the Equinoxes) ในขณะที่ระบบนิรายะนะจะยึดตำแหน่งกลุ่มดาวฤกษ์เป็นหลักซึ่งมีตำแหน่งคงที่และไม่เปลี่ยนแปลง
ดังนั้นระบบสายนะกับระบบนิรายนะ จะไม่วันที่จะมาบรรจบพบกันได้เลย เพราะเป็นระบบจักรราศีที่อิงกับหลักการแตกต่างกัน โดยระบบสายนะ (Tropical) ยึดตามฤดูกาลและจุดเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิที่เป็น 0 องศาราศีเมษ ส่วนระบบนิรายนะ (Sidereal) ยึดตามกลุ่มดาวจริงบนท้องฟ้าซึ่งจะมีการเคลื่อนที่สัมพันธ์กับโลก ทำให้ทั้งสองระบบมีระยะห่างที่คงที่ตลอดไป
อธิบายเรื่องดาราศาสตร์มามากพอสมควร ก็เพราะตระหนักว่า ก่อนที่เราจะศึกษาวิชาโหราศาสตร์ พวกเราทุกคนจำเป็นต้องมีพื้นฐานทางดาราศาสตร์ให้ดีเสียก่อน เพราะวิชาดาราศาสตร์คือรากฐานสำคัญของวิชาโหราศาสตร์ ซึ่งบทต่อไปผมจะมาปูพื้นฐานทางดาราศาสตร์เพิ่มเติมจน ทำให้ทุกท่านได้เข้าใจกลไกและระบบของจักรวาลได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
*******************************
*เรียนโหราศาสตร์ภารตะ(โหรพระเวท)ฟรี ได้ที่นี่ ศึกษาจากบทเรียน อ่านได้ที่นี่ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/2016-09-26-02-29-18/219-astrology-lesson.html
*แหล่งรวมความรู้โหราศาสตร์ภารตะ อ่านได้ที่นี่ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/2016-09-26-02-29-18.html
*กดติดตาม เพื่ออ่านบทเรียนใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์ Napat Patrapongphaiboon (Astro Neemo)
*******************************
บริการของเรา
ดูฤกษ์ออกรถ ดูฤกษ์ยกเสาเอก ดูฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ดูฤกษ์เปิดกิจการใหม่ ดูฤกษ์จดทะเบียนบริษัท ดูฤกษ์แต่งงานพิธีไทย-ฤกษ์จดทะเบียนสมรส ดูฤกษ์เปลี่ยนชื่อ ดูฤกษ์ตั้งศาลพระภูมิ ดูฤกษ์เข้าทำงานใหม่ ดูฤกษ์ลาสิกขาบท ดูฤกษ์โกนผมไฟ ดูฤกษ์ผ่าคลอด ดูฤกษ์มงคลอื่นๆ
ดูฮวงจุ้ย-แก้ฮวงจุ้ย คำนวนดวงพิชัยสงคราม-เสริมดวง-แก้ดวง ดูดวงชะตาด้วยโหราศาสตร์พระเวท(โหรภารตะ)
กดติดตาม เพื่ออ่านบทความใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์
*******************************