
บทเรียนที่ 3 รากฐานของวิชา”โหราศาสตร์พระเวท“ทั้งระบบ ตอนที่ 3
ที่มาของกาลเวลา โหราศาสตร์กับกาลเวลา เมื่อ กาลบุรุษ หมายถึงบุคลาธิษฐานแห่งกาลเวลา หรือ "ปุรุษ" (บุรุษแห่งกาลเวลา) ซึ่งคำว่า โหรา ก็มีรากศัพท์จากคำว่า อโห(กลางวัน)+ราตรี(กลางคืน) ดังนั้นศัพท์คำว่า”โหรา”ก็หมายถึง”กาลเวลา”เช่นกัน “กาลเวลา”เกิดขึ้นได้อย่างไร อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆว่า เพราะมีกลางวัน กลางคืน มีดิถีขึ้นแรม มีเดือน มีปี จากการโคจรของดวงดาว จึงทำให้เกิด “กาลเวลา”ขึ้นมา ดังนั้นโหราศาสตร์ ก็คือศาสตร์ที่ว่าด้วยกาลเวลา จึงสัมพันธ์กับ "กาลปุรุษ" (บุรุษแห่งกาลเวลา) จนเป็นหนึ่งเดียวกัน หรืออาจจะเรียกว่า โหราบุรุษ ก็น่าจะได้เช่นกัน
เวลาในความจริงก็คือความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนที่ กาลเวลาเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ผ่าน การเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลง (Motion and Change) ในจักรวาล หากระบบใดไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ก็จะถือว่าไร้กาลเวลา
เวลาเกิดจากการบอกเวลาตามธรรมชาติ มนุษย์ใช้ปรากฏการณ์ซ้ำ ๆ ของการเคลื่อนที่มาตั้งแต่ยุคโบราณเพื่อกำหนดหน่วยเวลา เช่น การหมุนรอบตัวเองของโลก (ทำให้เกิดกลางวัน-กลางคืน), การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ (ทำให้เกิดฤดูกาล), และการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ (ทำให้เกิดเดือนจันทรคติ) ดังนั้นนิยามของกาลเวลาของคนโบราณก็คือ วัน เดือน ปี ทั้งหมดเกิดขึ้นบนฟ้าและส่งผลลงยังโลก
กาลเวลาในมุมมองเชิงจิตวิญญาณ ในหลายศาสนาและปรัชญา (เช่น ศาสนาพุทธ, ฮินดู,เชน) กาลเวลาเป็นแนวคิดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ จิต , กรรม หรือ พระเจ้า ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัฏจักรการเกิดดับ (สังสารวัฏ ) จนกว่าจะบรรลุภาวะแห่งการหลุดพ้น (เหนือกาลเวลา)
ทำไมดวงดาวจึงบอกได้ทั้ง “อดีต–ปัจจุบัน–อนาคต”
เมื่อเราเข้าใจว่า ดาวเคราะห์แต่ละดวงโคจรด้วย “กฎและรูปแบบ” ที่สามารถคำนวณได้ทั้ง ย้อนหลัง และ ล่วงหน้า จุดสำคัญของโหราศาสตร์พระเวทคือ ใช้ “ตำแหน่งดาว ณ วินาทีหนึ่ง ๆ” เป็น ภาพถ่าย (snapshot) ของ “ภาพดาวเคราะห์บนท้องฟ้า” ในขณะเจ้าชะตาเกิดก็ถือเป็นรูปแบบเวลาชนิดหนึ่ง
มหาฤาษีโบราณท่านจึงใช้ทฤษฎีการโคจรของดาวเคราะห์บนท้องฟ้า มาอธิบายปรากฏการณ์กรรมต่างๆหรือดวงชะตาของมนุษย์ เนื่องจากการคำนวณการโคจรดาวเคราะห์ทั้ง 9 ที่มีรูปแบบโคจรไปข้างหน้าที่มีรูปแบบหรือทฤษฎีที่แน่นอน ดังนั้นก็ย่อมสามารถทำนายอนาคต หรือทำนายอดีตได้จากการโคจรของดวงดาวต่างๆย้อนหลังได้เช่นกันเป็นพันๆปี หรือนานกว่านั้น
หลักการนี้ทำให้เรามีทฤษฎีการพยากรณ์ที่แน่นอนกว่า การดูต้นไม้ ใบหญ้า หรือ ดูหน้าตา ดูลายมือ ดูนิมิต ฝน ตก ฟ้าร้อง สีของท้องฟ้า ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้บ่งบอกได้เพียงปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ จึงไม่สามารถที่จะพยากรณ์ย้อนอดีต หรือพยากรณ์ล่วงหน้าไปยังอนาคตได้ไปเป็นพันๆปีได้เหมือนกับการโคจรที่แน่นอนของดาวเคราะห์
อย่างไรก็ตามดวงชะตาของเราก็ยังผูกอยู่กับทุกๆสรรพสิ่งรอบตัวเรา มันไม่ได้หายไปไหน หลักการนี้จึงอยู่วิชาย่อยของโหราศาสตร์พระเวท นั่นก็คือว่า สกุณีศาสตร์ หรือการทำนายนิมิต คำกล่าวที่ว่า “เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว” หรือ Butterfly effect เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลยความจริงแม้แต่น้อย
วิบากกรรมกับดวงดาว
ตรงนี้เองที่เชื่อมไปสู่แนวคิดเรื่อง กรรม 3 ระดับ อย่างง่าย ๆ คือ 1.สัญจิตตกรรม– กรรมสะสมทั้งหมดในอดีต 2.ปฺรารถธกรรม – กรรมที่สุกงอมแล้วในชาตินี้พร้อมจะให้ผล และ 3.อาคามิ/อาคามิกกรรม– กรรมใหม่ที่กำลังก่อเพิ่ม
ดวงชะตา จึงเป็นดั่ง “แผนที่การเลือกชุดของปฺรารถธกรรม” ที่วิญญาณจะมาเสวยในชาตินี้ เพราะเราคำนวณตำแหน่งดาวย้อนหลังได้ จึงพอเข้าใจ “ร่องรอยที่กรรมเก่าเคยทำไว้” และเพราะเราคำนวณตำแหน่งดาวล่วงหน้าได้ จึงพอคาดได้ว่า “ช่วงเวลาไหน กรรมใดจะเด่นขึ้นมาให้ผล”
อย่างไรก็ตาม โหราจารย์ขนานแท้ จะย้ำเสมอว่า ดวงชะตาไม่ได้เป็น “โซ่ล่ามดวงชะตา” แต่เป็น “แผนที่” ให้เราเห็นภูเขา–เหว–ทางราบ เพื่อจะก้าวเดินด้วยสติและปัญญา การรู้จังหวะของดาว จึงเป็นการรู้ “จังหวะของกาลเวลา” เพื่อจะเลือกใช้ “เจตจำนงเสรี” ให้สอดคล้องกับธรรมะ ไม่ใช่ยอมแพ้ให้กับกรรมเก่าอย่างเดียว
แนวคิดปรัชญาบุรุษแห่งกาลเวลา
เมื่อเหล่ามหาฤษีทั้งหลายรู้ว่าเราสามารถคำนวณการให้ผลของกรรมดี กรรมชั่ว ผ่านระบบ การโคจรของดวงดาวได้ ท่านจึงได้รจนาคัมภีร์โหราศาสตร์ภาคคำนวนทางดาราศาตร์ เรียกว่า “สิทธานตะ” เช่น สุรยะสิทธานตะ เป็นต้น สำหรับการคำนวนการโคจรและตำแหน่งดวงดาวทุกดวงได้ ไม่ว่าเป็น การโคจรโดยปกติ หรือ วิกลคติ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีราศี จึงคำนวณแหน่งดาวตามนักษัตร และการคำนวณการโคจรของดาวจันทร์ไปเสวยนักษัตรต่างๆ นำมาใช้ในการพยากรณ์ จนเมื่อวิทยาการพัฒนาขึ้น ท่านมหาฤษี ค้นพบว่าบนจักรวาลอันยิ่งใหญ่ไพศาล กลับมีรูปร่างอันมหึมาคล้ายร่างกายของมนุษย์สถิตอยู่ในตำแหน่งที่คงที่ตลอดกาลนานและไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะผูกติดกับหมู่ดาวนักษัตรที่ไม่เคลื่อนที่นั่นเอง
ด้วยญาณหยั่งรู้และความเป็นปราชญ์ทางด้านการคำนวณ ท่านได้เห็นความสัมพันธ์ของ กายทิพย์จักรวาลนี้ สัมพันธ์กับอวัยวะของมนุษย์ทุกคนบนโลก ท่านจึงขนานนามของกายทิพย์นี้ว่า “กาลปุรุษ” ด้วยตำแหน่งและทิศทางของกายวิภาคของ “กาลบุรุษ”ท่านมหาฤษีจึงแบ่งร่างกายของ “กาลบุรุษ”ออกเป็น 12 ส่วน ซึ่งตรงกันกับ อวัยวะทั้ง 12 ของมนุษย์ และการแบ่งออกเป็น 12 ส่วนซึ่งมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์พระเวท ในเวทังคะชโยติษะ (1400 ปีก่อนคริสตกาล) ตำแหน่งศีรษะของกาลบุรุษจึงอยู่ลำดับแรกสุด และเท้าของกาลบุรุษอยู่ตำแหน่งท้ายสุด
-
*******************************
สนใจดูดวงชะตาด้วย โหราศาสตร์พระเวท(ภารตะ) กับ อาจารย์ ณภัทร (AstroNeemo)
กรุณาคลิ๊กลิงก์นี้ครับ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-20-37/211067-%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B0.html
*******************************
บริการของเรา
ดูฤกษ์ออกรถ ดูฤกษ์ยกเสาเอก ดูฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ดูฤกษ์เปิดกิจการใหม่ ดูฤกษ์จดทะเบียนบริษัท ดูฤกษ์แต่งงานพิธีไทย-ฤกษ์จดทะเบียนสมรส ดูฤกษ์เปลี่ยนชื่อ ดูฤกษ์ตั้งศาลพระภูมิ ดูฤกษ์เข้าทำงานใหม่ ดูฤกษ์ลาสิกขาบท ดูฤกษ์โกนผมไฟ ดูฤกษ์ผ่าคลอด ดูฤกษ์มงคลอื่นๆ
ดูฮวงจุ้ย-แก้ฮวงจุ้ย คำนวนดวงพิชัยสงคราม-เสริมดวง-แก้ดวง ดูดวงชะตาด้วยโหราศาสตร์พระเวท(โหรภารตะ)
กดติดตาม เพื่ออ่านบทความใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์
*****************************
