
บทเรียนที่ 3 รากฐานของวิชา”โหราศาสตร์พระเวท“ ”โหราศาสตร์พระเวท“ทั้งระบบ ตอนที่ 2
เมื่อลองแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน มนุษย์โบราณจินตนาการว่า โลกอยู่ตรงกลาง และถูกห่อหุ้มด้วย “เปลือกฟ้า” กลม ๆ ขนาดมหึมา ที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทรงกลมสมมตินี้เรียกว่า “ทรงกลมฟ้า” (Celestial Sphere)
คำว่า “ทรงกลมฟ้า” (Celestial sphere) หมายถึง ทรงกลมสมมติขนาดใหญ่มีรัศมีอนันต์ โดยมีโลกอยู่ที่จุดศูนย์กลาง (Geocentric) มนุษย์ในอดีตจินตนาการว่า โลกถูกห่อหุ้มด้วยทรงกลมฟ้าซึ่งประดับด้วยดาวฤกษ์ (Star) และเข้าใจว่า ดาวฤกษ์เหล่านี้อยู่ห่างจากโลกด้วยระยะทางเท่ากับรัศมีของทรงกลมฟ้า ทรงกลมฟ้าหมุนรอบโลก 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชั่วโมง ทำให้เราจากมุมมองบนโลกเห็นดาวฤกษ์เคลื่อนที่ไปตามทรงกลมท้องฟ้าด้วยอัตรา 15 องศาต่อชั่วโมง (360°/24 ชั่วโมง = 15°)
แม้ในทางดาราศาสตร์สมัยใหม่ เรารู้แล้วว่า โลกต่างหากที่หมุนรอบตัวเอง แต่แนวคิด “ทรงกลมฟ้า” ยังคงใช้เป็น เครื่องมือทางเรขาคณิต เพื่ออธิบายตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของดวงดาวได้ง่ายและเป็นระบบ และนี่เองคือเวทีใหญ่ที่โหราศาสตร์ทุกระบบใช้ร่วมกัน
คำว่า “จักรราศี” (Zodiac – रासी चक्र)หมายถึง “ทรงกลมฟ้า” และแบ่งเส้นสุริยะวิถี (Ecliptic)ออกเป็น 12 ส่วนเท่า ๆ กัน ส่วนละ 30 องศา รวม 360 องศา
ดวงอาทิตย์โคจรอยู่บนท้องฟ้าตามแนวสุริยะวิถี ผ่านกลุ่มดาวจักราศี 12 กลุ่มที่อยู่ตามแนวสุริยวิถีที่เราเรียกว่า จักรราศี โดยในแต่ละเดือนดวงอาทิตย์โคจรผ่านหน้าจักราศี ซึ่งเป็นกลุ่มดาวจักราศีที่เรานำมากำหนดเป็นชื่อเดือนทางสุริยะคติ ยกตัวอย่าง เช่น ดวงอาทิตย์โคจรผ่านหน้ากลุ่มดาวหญิงสาวหรือราศีกันย์ ก็เรียกช่วงนี้ว่าเป็นเดือนราศีกันย์ หรือเดือนกันยายน และดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่านจักราศีทั้งสิบสองใช้ระยะเวลา 1 ปี ด้วยเหตุนี้หนึ่งปีจึงมี 12 เดือน (360°/12 เดือน หรือประมาณ 30 วัน)
เมื่อมนุษย์ยืนดูท้องฟ้าเป็นเวลานานพอ จะพบว่ากลุ่มดาวฤกษ์ส่วนใหญ่เหมือน ตรึงอยู่กับที่ ไม่เปลี่ยนตำแหน่งสัมพันธ์กัน แต่มี วัตถุสว่าง 7 ดวง ที่ “เร่ร่อนไปมา” บนแถบจักรราศี ด้วยทิศทางและความเร็วไม่คงที่ วัตถุทั้ง 7 นี้คือ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวอีก 5 ดวงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์ และดาวเสาร์ โคจรเคลื่อนที่ไปในแนวเส้นสุริยวิถี ด้วยทิศทางและอัตราเร็วไม่คงที่ จึงเรียกดาวทั้ง7 ดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์ (Planet) หรือสัปตเคราะห์ และนำมาตั้งเป็นชื่อของวันทั้งเจ็ดในสัปดาห์
การที่มนุษย์เฝ้าสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์ ในทรงกลมฟ้า นำไปสู่การกำหนดเวลาในนาฬิกาและปฏิทิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาของมนุษย์มาแต่โบราณ และจักรราศี วงกลมฟ้า ดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์ นี้เองเป็นสิ่งที่วิชา โหราศาสตร์พระเวทยึดเป็นฐานในกระบวนการพยากรณ์ชะตา
โครงสร้างพื้นฐานของจักราศี
โดยโหราศาสตร์ทั่วโลกมีการใช้งาน “จักรราศี” อยู่ 2 ระบบหลัก คือ
(1) ระบบเขตราศี (Tropical Zodiac)เริ่มต้นราศีเมษที่ “จุดวสันตวิษุวัต” (Vernal Equinox)ผูกกับฤดูกาล แต่ ไม่ผูกกับตำแหน่งดาวฤกษ์จริง
(2) ระบบนิรายณะ (Sidereal Zodiac)ซึ่งเป็นระบบของโหราศาสตร์พระเวทเริ่มต้นราศีเมษที่ “ดาวฤกษ์อัศวินีนักษัตร” (अश्विनी)และอ้างอิง “ดาวฤกษ์จริงบนฟ้า” และนี่คือเหตุผลที่โหราศาสตร์เวทแม่นยำในเชิง “กรรม–จิตใจ–อิทธิพลดาว”เพราะระบบนิรายณะสัมพันธ์กับ “ท้องฟ้าที่เกิดขึ้นจริง”ไม่ใช่จุดคำนวณเชิงฤดูกาลเท่านั้น (*โดยรายละเอียดโครงสร้างจักราศี 2 ระบบได้อธิบายอย่างละเอียดเอาไว้ในบทที่แล้ว)
บุรุษแห่งกาลเวลา
คัมภีร์โหราศาสตร์เวทมาตฐาน เช่น คัมภีร์พฤหัส ปราศาระ โหรา ศาสตราอธิบายว่าจักรราศีทั้ง 12 เป็นเหมือน “กายวิภาคของกาลบุรุษ” (कालपुरुष – กาลปุรุษ) โดยแต่ละราศีเป็นตัวแทนอวัยวะต่างๆของกายทิพย์จักรวาลในรูปแบบบุคคล
คำว่า "กาลปุรุษ" มีหลายความหมาย โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดูและโหราศาสตร์ ความหมายหลักๆ ได้แก่: บุคลาธิษฐานแห่งกาลเวลา: "กาล" หมายถึงเวลา และ "ปุรุษ" หมายถึงบุคคลหรือสิ่งที่มีตัวตน คำว่า ปุรุษะ ในบริบทนี้จึงไม่ได้หมายถึง ผู้ชาย หรือ บุรุษ แต่เป็นกายทิพย์จักรวาลที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา ดังนั้น "กาลปุรุษ" จึงหมายถึงบุคลาธิษฐานแห่งกาลเวลา หรือ "ปุรุษ" (บุรุษแห่งกาลเวลา)
คำว่า “จักรวาล” ในเทพปกรณัมและปรัชญาฮินดู หมายถึงจักรวาลที่อยู่ในอวกาศและรวมความถึงทุกสรรพสิ่งทุกสิ่งบนโลกในระดับอณู ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของจักรวาลทั้งหมด
คำว่า“กุณฑลี” หมายถึงแผนภูมิของดวงชะตาในโหราศาสตร์ ในบริบทของโหราศาสตร์พระเวท "กาลปุรุษ กุณฑลี" หมายถึงแผนภูมิของ “ดวงชะตากาลบุรุษ” ซึ่งเป็น”ดวงชะตาสากล”ที่ถือเอาราศีเมษถือเป็นเรือนที่หนึ่ง (ลัคนา) และราศีและเรือนอื่นๆ เรียงกันไปตามลำดับ ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ของราศีต่างๆ กับส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ ในบางบริบท "กาลปุรุษ" ยังถูกอธิบายว่าเป็นยมราชา เทพเจ้าแห่งความตาย หรือผู้ส่งสารของพระเจ้า เพราะมีกาลเวลาจึงมีความเกิด ความแก่ เจ็บ ตาย”
ในทางดาราศาสตร์ กลุ่มดาวนายพรานก็มีอีกชื่อหนึ่งว่า "กาลปุรุษ"เช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ความหมายในนัยะนี้และในบางคัมภีร์ เช่น เทวีภควัตปุราณะ สัญลักษณ์ของ"กาลปุรุษ" นี้เป็นสัญลักษณ์ที่เตือนถึงอันตรายจากความโลภ โกรธ หลง
นักษัตรจักร
ในอดีตนับพันๆปี เราเคยรู้ไหมว่า จักราศี มีต้นกำเนิดมาจากอะไร หากเราศึกษาพระเวทโบราณ ศาสตร์การพยากรณ์ล้วนใช้แต่ดาวนักษัตรเป็นหลัก เรียกว่า”นักษัตรจักร” เพราะสมัยนั้นยังไม่มีแนวคิดเรื่องราศี ตอนนี้เราอาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่า การพยากรณ์โดยใช้นักษัตรนั้นเป็นแบบไหน เราลองมาดูโหราศาสตร์จีนของลัทธิเต๋าซึ่งก็มีอายุนานนับพันๆปีเหมือนกัน จนถึงปัจจุบัน โหราศาสตร์จีนก็ยังใช้ระบบนักษัตรทั้ง 28 นักษัตร 星宿โดยไม่ใช้ราศี (ซึ่ง 28 นักษัตรของจีนจะมีความกว้างยาวไม่เท่ากัน)
โหราศาสตร์จีนโบราณ ใช้การพยากรณ์จากกลุ่มดาวหมีใหญ่ เช่น ดาวปักเต้า北斗 หรือดาวหน่ำเต้า 南斗โดยไม่มีราศี แต่มีระบบนักษัตร จนมาภายหลังได้รับศาสนาพุทธจากอินเดีย พร้อมๆกับรับอิทธิพลจากโหราศาสตร์พระเวทผ่านภิกษุชาวอินเดียที่มาเผยแพร่ศาสนาในประเทศจีนในยุคเกือบ 2000 ปีที่แล้ว
มหาฤาษีกับปรัชญาพระเวท
จนปรัชญาของพระเวทได้พัฒนาขึ้นมาอย่างเป็นระบบ คนมีจำนวนมากขึ้น ชีวิตก็ซับซ้อนมากขึ้น ก็เริ่มมีการเชื่อมโยงกันกับทฤษฎี-ปรัชญาด้านชีวิตและจิตวิญาณของมนุษย์และผลกรรมที่แสดงออกมาแตกต่างกันในแต่ละบุคคล นักปราชญ์หรือมหาฤษีแต่โบราณท่านก็ได้ใช้ญาณหยั่งรู้อันพิเศษที่ได้จากฌานสมาธิ ตรวจสอบผลกรรมของบุคคล และเชื่อมโยงความสัมพันธ์นี้ไปกับทุกสรรพสิ่ง ซึ่งแน่นอนว่าทฤษฎีนี้ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้สามารถบ่งชี้กรรมหรือดวงชะตาของเราได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า เสื้อผ้า รูปร่างหน้าตา สีสรรบนท้องฟ้า รู้ง เมฆ ดาวตก ฯลฯ
หากจะเปรียบเทียบกับโหราศาสตร์ตะวันตก ซึ่งไม่มีแนวคิดเรื่องกรรม วิบาก และการเสวยผลกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งจุดนี้ต่างกับโหราศาสตร์พระเวทอย่างชัดเจน การที่ไม่มีแนวคิดเรื่องกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด โหรตะวันตกจึงขาดความลุ่มลึกทางอภิปรัชญาที่ว่าด้วยชีวิต และการพัฒนาทางจิตวิญญาณ เพื่อไปสู่ความหลุดพ้น (โมกษะ)
หากบอกว่าทุกสิ่งเกิดมาจากเหตุต้นผลกรรม แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ากรรมจะแสดงผลเมื่อใดกันแน่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกาลเวลา เป็นตัวกำหนด มหาฤษีทั้งหลายก็ย่อมเห็นวิธีการคำนวนเวลาของกรรมที่จะให้ผล โดยวิธีทางญาณวิถี และชโยติษศาสตร์ หรือ ดาราศาสตร์ เช่น นักษัตร ดาวเคราะห์ต่างๆ ที่กำลังโคจรเปลี่ยนวันเดือนคืนไปเรื่อยๆ เพราะการโคจรของดาวเคราะห์ทั้งหลายก็คือหัวใจของกาลเวลา
ที่มาของกาลเวลา
โหราศาสตร์กับกาลเวลา เมื่อ กาลบุรุษ หมายถึงบุคลาธิษฐานแห่งกาลเวลา หรือ "ปุรุษ" (บุรุษแห่งกาลเวลา) ซึ่งคำว่า โหรา ก็มีรากศัพท์จากคำว่า อโห(กลางวัน)+ราตรี(กลางคืน) ดังนั้นศัพท์คำว่า”โหรา”ก็หมายถึง”กาลเวลา”เช่นกัน
“กาลเวลา”เกิดขึ้นได้อย่างไร อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆว่า เพราะมีกลางวัน กลางคืน มีดิถีขึ้นแรม มีเดือน มีปี จากการโคจรของดวงดาว จึงทำให้เกิด “กาลเวลา”ขึ้นมา ดังนั้นโหราศาสตร์ ก็คือศาสตร์ที่ว่าด้วยกาลเวลา จึงสัมพันธ์กับ "กาลปุรุษ" (บุรุษแห่งกาลเวลา) จนเป็นหนึ่งเดียวกัน หรืออาจจะเรียกว่า โหราบุรุษ ก็น่าจะได้เช่นกัน
เวลาในความจริงก็คือความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนที่ กาลเวลาเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ผ่าน การเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลง (Motion and Change) ในจักรวาล หากระบบใดไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ก็จะถือว่าไร้กาลเวลา
เวลาเกิดจากการบอกเวลาตามธรรมชาติ มนุษย์ใช้ปรากฏการณ์ซ้ำ ๆ ของการเคลื่อนที่มาตั้งแต่ยุคโบราณเพื่อกำหนดหน่วยเวลา เช่น การหมุนรอบตัวเองของโลก (ทำให้เกิดกลางวัน-กลางคืน), การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ (ทำให้เกิดฤดูกาล), และการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ (ทำให้เกิดเดือนจันทรคติ) ดังนั้นนิยามของกาลเวลาของคนโบราณก็คือ วัน เดือน ปี ทั้งหมดเกิดขึ้นบนฟ้าและส่งผลลงยังโลก
กาลเวลาในมุมมองเชิงจิตวิญญาณ ในหลายศาสนาและปรัชญา (เช่น ศาสนาพุทธ, ฮินดู,เชน) กาลเวลาเป็นแนวคิดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ จิต , กรรม หรือ พระเจ้า ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัฏจักรการเกิดดับ (สังสารวัฏ ) จนกว่าจะบรรลุภาวะแห่งการหลุดพ้น (เหนือกาลเวลา)
ทำไมดวงดาวจึงบอกได้ทั้ง “อดีต–ปัจจุบัน–อนาคต”
เมื่อเราเข้าใจว่า ดาวเคราะห์แต่ละดวงโคจรด้วย “กฎและรูปแบบ” ที่สามารถคำนวณได้ทั้ง ย้อนหลัง และ ล่วงหน้า จุดสำคัญของโหราศาสตร์พระเวทคือ ใช้ “ตำแหน่งดาว ณ วินาทีหนึ่ง ๆ” เป็น ภาพถ่าย (snapshot) ของ “ภาพดาวเคราะห์บนท้องฟ้า” ในขณะเจ้าชะตาเกิดก็ถือเป็นรูปแบบเวลาชนิดหนึ่ง
มหาฤาษีโบราณท่านจึงใช้ทฤษฎีการโคจรของดาวเคราะห์บนท้องฟ้า มาอธิบายปรากฏการณ์กรรมต่างๆหรือดวงชะตาของมนุษย์ เนื่องจากการคำนวณการโคจรดาวเคราะห์ทั้ง 9 ที่มีรูปแบบโคจรไปข้างหน้าที่มีรูปแบบหรือทฤษฎีที่แน่นอน ดังนั้นก็ย่อมสามารถทำนายอนาคต หรือทำนายอดีตได้จากการโคจรของดวงดาวต่างๆย้อนหลังได้เช่นกันเป็นพันๆปี หรือนานกว่านั้น
หลักการนี้ทำให้เรามีทฤษฎีการพยากรณ์ที่แน่นอนกว่า การดูต้นไม้ ใบหญ้า หรือ ดูหน้าตา ดูลายมือ ดูนิมิต ฝน ตก ฟ้าร้อง สีของท้องฟ้า ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้บ่งบอกได้เพียงปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ จึงไม่สามารถที่จะพยากรณ์ย้อนอดีต หรือพยากรณ์ล่วงหน้าไปยังอนาคตได้ไปเป็นพันๆปีได้เหมือนกับการโคจรที่แน่นอนของดาวเคราะห์
อย่างไรก็ตามดวงชะตาของเราก็ยังผูกอยู่กับทุกๆสรรพสิ่งรอบตัวเรา มันไม่ได้หายไปไหน หลักการนี้จึงอยู่วิชาย่อยของโหราศาสตร์พระเวท นั่นก็คือว่า สกุณีศาสตร์ หรือการทำนายนิมิต คำกล่าวที่ว่า “เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว” หรือ Butterfly effect เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลยความจริงแม้แต่น้อย
วิบากกรรมกับดวงดาว
ตรงนี้เองที่เชื่อมไปสู่แนวคิดเรื่อง กรรม 3 ระดับ อย่างง่าย ๆ คือ 1.สัญจิตตกรรม– กรรมสะสมทั้งหมดในอดีต 2.ปฺรารถธกรรม – กรรมที่สุกงอมแล้วในชาตินี้พร้อมจะให้ผล และ 3.อาคามิ/อาคามิกกรรม– กรรมใหม่ที่กำลังก่อเพิ่ม
ดวงชะตา จึงเป็นดั่ง “แผนที่การเลือกชุดของปฺรารถธกรรม” ที่วิญญาณจะมาเสวยในชาตินี้ เพราะเราคำนวณตำแหน่งดาวย้อนหลังได้ จึงพอเข้าใจ “ร่องรอยที่กรรมเก่าเคยทำไว้” และเพราะเราคำนวณตำแหน่งดาวล่วงหน้าได้ จึงพอคาดได้ว่า “ช่วงเวลาไหน กรรมใดจะเด่นขึ้นมาให้ผล” อย่างไรก็ตาม โหราจารย์ขนานแท้ จะย้ำเสมอว่า ดวงชะตาไม่ได้เป็น “โซ่ล่ามดวงชะตา” แต่เป็น “แผนที่” ให้เราเห็นภูเขา–เหว–ทางราบ เพื่อจะก้าวเดินด้วยสติและปัญญา การรู้จังหวะของดาว จึงเป็นการรู้ “จังหวะของกาลเวลา” เพื่อจะเลือกใช้ “เจตจำนงเสรี” ให้สอดคล้องกับธรรมะ ไม่ใช่ยอมแพ้ให้กับกรรมเก่าอย่างเดียว
แนวคิดปรัชญาบุรุษแห่งกาลเวลา
เมื่อเหล่ามหาฤษีทั้งหลายรู้ว่าเราสามารถคำนวณการให้ผลของกรรมดี กรรมชั่ว ผ่านระบบ การโคจรของดวงดาวได้ ท่านจึงได้รจนาคัมภีร์โหราศาสตร์ภาคคำนวนทางดาราศาตร์ เรียกว่า “สิทธานตะ” เช่น สุรยะสิทธานตะ เป็นต้น สำหรับการคำนวนการโคจรและตำแหน่งดวงดาวทุกดวงได้ ไม่ว่าเป็น การโคจรโดยปกติ หรือ วิกลคติ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีราศี จึงคำนวณแหน่งดาวตามนักษัตร และการคำนวณการโคจรของดาวจันทร์ไปเสวยนักษัตรต่างๆ นำมาใช้ในการพยากรณ์
จนเมื่อวิทยาการพัฒนาขึ้น ท่านมหาฤษี ค้นพบว่าบนจักรวาลอันยิ่งใหญ่ไพศาล กลับมีรูปร่างอันมหึมาคล้ายร่างกายของมนุษย์สถิตอยู่ในตำแหน่งที่คงที่ตลอดกาลนานและไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะผูกติดกับหมู่ดาวนักษัตรที่ไม่เคลื่อนที่นั่นเอง
ด้วยญาณหยั่งรู้และความเป็นปราชญ์ทางด้านการคำนวณ ท่านได้เห็นความสัมพันธ์ของ กายทิพย์จักรวาลนี้ สัมพันธ์กับอวัยวะของมนุษย์ทุกคนบนโลก ท่านจึงขนานนามของกายทิพย์นี้ว่า “กาลปุรุษ”
ด้วยตำแหน่งและทิศทางของกายวิภาคของ “กาลบุรุษ”ท่านมหาฤษีจึงแบ่งร่างกายของ “กาลบุรุษ”ออกเป็น 12 ส่วน ซึ่งตรงกันกับ อวัยวะทั้ง 12 ของมนุษย์ และการแบ่งออกเป็น 12 ส่วนซึ่งมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์พระเวท ในเวทังคะชโยติษะ (1400 ปีก่อนคริสตกาล) ตำแหน่งศีรษะของกาลบุรุษจึงอยู่ลำดับแรกสุด และเท้าของกาลบุรุษอยู่ตำแหน่งท้ายสุด
-------------------------------------------------------------------------
*******************************
***ประกาศ***
อาศรมศรีจักรนารท โดยอาจารย์ ณภัทร (AstroNeemo) ได้เริ่มเปิดสอน"โหราศาสตร์ภารตะ"หรือ"โหราศาสตร์พระเวท" ฟรี!!! ทางออนไลน์แล้ว
1.Facebook: กลุ่มโหราศาสตร์พระเวท https://www.facebook.com/groups/VedicAstrologyThailand
2.Website: https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-21-50/vedic-astrology-lesson.html
3.TikTok : astroneemo **ถ้าหากมีคนติดตามเยอะ อาจารย์ก็จะไลฟ์สดสอนโหราศาสตร์ภารตะฟรี
*******************************
สนใจดูดวงชะตาด้วย โหราศาสตร์พระเวท(ภารตะ) กับ อาจารย์ ณภัทร (AstroNeemo)
กรุณาคลิ๊กลิงก์นี้ครับ https://www.astroneemo.net/index.php/2016-08-07-05-20-37/211067-%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B0.html
*******************************
บริการของเรา
ดูฤกษ์ออกรถ ดูฤกษ์ยกเสาเอก ดูฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ดูฤกษ์เปิดกิจการใหม่ ดูฤกษ์จดทะเบียนบริษัท ดูฤกษ์แต่งงานพิธีไทย-ฤกษ์จดทะเบียนสมรส ดูฤกษ์เปลี่ยนชื่อ ดูฤกษ์ตั้งศาลพระภูมิ ดูฤกษ์เข้าทำงานใหม่ ดูฤกษ์ลาสิกขาบท ดูฤกษ์โกนผมไฟ ดูฤกษ์ผ่าคลอด ดูฤกษ์มงคลอื่นๆ
ดูฮวงจุ้ย-แก้ฮวงจุ้ย คำนวนดวงพิชัยสงคราม-เสริมดวง-แก้ดวง ดูดวงชะตาด้วยโหราศาสตร์พระเวท(โหรภารตะ)
กดติดตาม เพื่ออ่านบทความใหม่ๆ ผ่าน Facebook ของอาจารย์
*****************************
