Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูง"ระดับโหรหลวง"ของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวท ของพราหมณ์-ฮินดู อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 16 แล้ว WebSite และ Link ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

Duang Bangkok astroneemo"ดวงเมือง" ประเทศไทย จากมุมมองของโหราศาสตร์ภารตะ ตอนที่ 1

ก่อนจะเล่าเรื่อง ผู้เขียนมิได้มีเจตนาอื่นใด เพียงนำมาเล่าเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น สำหรับการพิจารณาดวงเมือง หรือ การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ดวงเมือง Mundane astrology โดยเฉพาะ ซึ่งหวังว่า ท่านผู้อ่านสามารถนำข้อมูลของผู้เขียนนำไปพิจารณาหรือวิเคราะห์ดวงเมืองของไทย โดยใช้ทฤษฎีต่างๆทางโหราศาสตร์ ที่แตกต่างกันและในแง่มุมหรือมติที่ต่างกันของครูอาจารย์ในแต่ละสาย  ซึ่งดวงเมืองประเทศไทยที่ผู้เขียนตั้งดวงด้วยตนเองดวงนี้  เป็นดวงที่ผู้เขียนตั้งดวงเอาไว้เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนด้วยหลักทฤษฎีของโหราศาสตร์ภารตะ และเพิ่งจะเปิดเผยต่อสาธารณชนครั้งนี้เป็นครั้งแรก

 

ฤกษ์ลงเสาหลักเมือง กรุงรัตนโกสินทร์ (คำนวณแบบโหรภารตะของอินเดีย)

ศุภดิถีมงคลวาร สุริยคติกาล วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 ค.ศ.1782 ม.ศ.1740 เวลา 06:05 น. จันทรคติกาล ตรงกับวันอาทิตย์ วาร-อาทิจวาร ดิถี-ศุกลอัฐมี(ขึ้น ๘ ค่ำ)  ศักราช- ศุภะกฤตะศก  อายัน-อุตตรายัน ฤดู-คิมหันตฤดู มาส-วิสาขะมาส นักษัตรโยค-ศูละโยค กรณะ-ปะวะกรณะ  
ลัคนาสถิตย์ ราศีเมษ 10°45' เกาะจตุตถนวางศ์ ๒ ทุติยะตรียางค์ ๑ เกี่ยวกับฤกษ์ที่ ๑ อัศวินีนักษัตรประกอบด้วย(ชนมะ-ทลิทโท)แห่งฤกษ์ ดาวเกตุเป็นดาวเจ้าฤกษ์
จันทร์สถิตย์ ราศีกรกฎ 11°11' เสวยฤกษ์ที่ ๘ ปุษยะนักษัตร (มิตระ-ราชาฤกษ์) ดาวเสาร์เป็นดาวเจ้าฤกษ์   วิมโษตรีทศา- สมดุลย์จันทรทศา มหาทศาดาวเสาร์ ๗ ปี ๖ เดือน ๒๖ วัน อาทิตย์ขึ้นเวลา 05.43 น. ตกเวลา 18.14 น.     ณ  ศาลหลักเมือง กรุงเทพมหานคร  (100 E 49' 00", 14 N 15' 00") ลาหิรีอายนางศะ 20°49’  

สมผุสดาว มีดังนี้  

ลัคนา ราศีเมษ - 10°45'           อาทิตย์ -  10°07' 

ดาวจันทร์ - 11°11'                 ดาวอังคาร -  19°51' 

ดาวพุธ -   13°56'                   ดาวพฤหัสบดี (พ) -  8°07' 

ดาวศุกร์ -   3°30'                   ดาวเสาร์ (พ) -  10°18' 

ราหู -  25°19'                        เกตุ(สากล) 25°19' 

มันทิ-   6°36'                         คุลิกา -  25°11' 

 

ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นผู้ที่ศึกษาโหราศาสตร์ภารตะมาตั้งแต่อายุยังน้อย และเป็นคนชอบในด้านการวางฤกษ์ยาม โดยให้ฤกษ์ยามมงคลต่างๆทางเว็บไซด์มาเกือบ 20 ปี ทางเว็บไซด์ https://www.astroneemo.net  โดยอ้างอิงจากตำราของท่านอาจารย์ ยอดธง ทับทิวไม้ และ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร และหลักโหราศาสตร์ภารตะที่ท่านอาจารย์รัตน์ ศิระ นามสนธิ เป็นผู้แปลคัมภีร์สำคัญต่างๆ และคัมภีร์โหราศาสตร์พระเวท(ภารตะ)ต้นฉบับภาษาอังกฤษ

โดยท่านได้กล่าวว่าตำนานการตั้งเสาหลักเมืองบางกอกนั้น ได้เชิญพราหมณ์ทั้ง 8 ท่านเป็นผู้วางฤกษ์เอาไว้ก่อนล่วงหน้าถึง 3 ปี ซึ่งเป็นการรอเวลาให้ดวงดาวทั้ง 9 ดวงโคจรมาสถิตในตำแหน่งต่างๆ ตามที่คณะโหรพราหมณ์ได้วางเอาไว้โดยกำหนดวันตั้งเสาหลักเมืองเอาไว้ล่วงหน้า  ณ วันที่ 21 เมษายน พ.ศ 2325 เวลารุ่งแล้ว 9 บาท (ที่ต้องอ้างอิงระบบสุริยคติเนื่องจากอาจจะมีการสับสนในนับวันทางจันทรคติในปัจจุบันกับเมื่อ 250 ปีก่อน)

วิธีการหาลัคนาดวงเมือง

เมื่อได้วันเดือนปีมาแล้ว แล้วเราจะตั้งลัคนาเวลาอะไร นี่คือคำถาม ที่จำเป็นจะต้องหาคำตอบให้ได้ ดังนั้นในจดหมายเหตุเพียงแต่กล่าวว่า เป็นเวลา”รุ่งแล้ว 9 บาท” เวลาเราตีความ คำว่ารุ่งแล้ว 9 บาทนั้นหมายถึงอะไร เมื่อ 250 ปีก่อนนั้นท่านคำนวณอย่างไรและเป็นเวลากี่โมงกันแน่ และเราก็ต้องหาเหตุผลมาสนับสนุนข้อสันนิษฐานให้สมควรแก่เหตุ

ย่ำรุ่ง หรือ เช้ามืด เป็นภาษาไทยโบราณ คือ เวลาซึ่งเริ่มต้นสนธยาก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น สังเกตได้จากการมีแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ขณะที่ดวงอาทิตย์ยังอยู่ใต้เส้นขอบฟ้า และไม่ใช่เวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้น (sunrise) ตามหลักดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นขณะที่ขอบด้านบนของดวงอาทิตย์โผล่พ้นเส้นขอบฟ้า

อ้างอิงจากธรรมเนียมโบราณที่สืบทอดมานับพันๆปี

ศาสนาพุทธ พระจะออกบิณฑบาต เวลาเช้าประมาณ 05.30 ขึ้นไป หรือเราสามารถมองเห็นลายมือตัวเองได้ ส่วนศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก็เป็นเวลาที่ต้องทำพิธีพลีกรรมต่าง เช่น พิธีโฮมา ในเวลาย่ำรุ่งเช่นเดียวกัน ดังนั้นความหมายของพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกของศาสนาฮินดูจึงไม่ใช่การสังเกตตามหลักดาราศาสตร์และไม่ควรไปอ้างอิงกับเวลาที่บอกไว้ตามปฏิทินดาราศาสตร์ใดใด

ดั้งนั้นคำว่า”รุ่ง” หรือย่ำรุ่ง คือเวลาที่แสงทองของพระอาทิตย์จับขอบฟ้า ในปี พ.ศ 2325 ควรจะเป็นเวลากี่โมงกี่นาที  และเมื่อได้เวลาที่แน่นอนแล้วจึงค่อยมาบวกเวลาอีก 9 บาท และนี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดในการวางฤกษ์สำคัญของชาติ และในสมัยโบราณของไทย 1 บาท ในการนับเวลาเท่ากับ 6 นาที. การนับเวลาแบบโบราณจะแบ่งเป็น 10 บาทใน 1 ชั่วโมง หรือ 60 นาที, ดังนั้น 1 บาทจึงเท่ากับ 6 นาที และ 9 บาทจึงเท่ากับ 54 นาที

วิชาวางฤกษ์ชั้นสูงจากคัมภีร์มุหูรตะ

ดังนั้นผู้เขียนจึงศึกษาเหตุการณ์ต่างทางประวัติศาสตร์ พร้อมกับใช้หลักวิชา”มุหุรตะ” ซึ่งเป็นวิชาให้ฤกษ์ชั้นสูงของพราหมณ์ ดั้งนั้นการวางลัคนาของผู้เขียนต้องอ้างอิงกฎการให้ฤกษ์ของคัมภีร์มุหูรตะและปฏิทินโหรอินเดียโบราณซึ่งเรียกว่าปฏิทินปัญจางคะ

เมื่อศึกษาเหตุการณ์บ้านเมืองสมัยนั้น ก็มีแต่ศึกสงครามและความขัดแย้งทางการเมืองอย่างต่อเนื่องมาตลอด และได้มีการปราบดาภิเษกพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ซึ่งเป็นพระปฐมบรมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์จักรี ในจดหมายเหตุมีความตอนหนึ่งว่า

“ณ วันเสาร์ แรม 9 ค่ำ เดือน 5 จุลศักราช 1144 ปีขาล จัตวาศก หรือวันที่ 6 เมษายน พุทธศักราช 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จเข้าพระนครปราบดาภิเศก แล้วมีพระราชโองการให้ตั้งกรุงเทพมหานครยังฝั่งบุรพทิศจากนั้นจึงได้มีพระราชดำรัสสั่งให้ พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่สร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันออก ได้ตั้งพิธียก “เสาหลักเมือง” ณ วันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ”

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าล้นเกล้ารัชกาลที่ 1 ซึ่งเพิ่งปราบดาภิเษกใหม่ๆในขณะที่บ้านเมืองถูกแวดล้อมด้วยข้าศึกศัตรูหมู่ปัจจามิตร อีกทั้งจักต้องสร้างพระนครใหม่ไปพร้อมกันไปด้วย ซึ่งตอนนั้นหากใช้ภาษาชาวบ้านก็คือ “ยังไม่รู้ว่าจะไปรอดหรือไม่รอด”

“ดาวอาทิตย์” ในดวงฤกษ์นี้หมายถึงอะไร  

หากนักโหราศาสตร์อ่านดวงฤกษ์แล้วจะเข้าใจว่าทำไมจึงวางดาวอาทิตย์(หมายถึงพระมหากษัตริย์)ในตำแหน่งมหาอุจน์ในราศีเมษและต้องได้องศา 10 องศาซึ่งเป็นองศาบรมอุจน์ ซึ่งทำให้ดาวอาทิตย์เป็นดาวที่ทรงพลังแข็งแกร่งที่สุด เพื่อเสริมดวงพระนครและเสริมพระราชอำนาจให้มั่นคง

ดังนั้นผู้เขียนจึงมองเห็นจุดนี้ที่เด่นที่สุดในดวงเมืองตรงจุดนี้ แล้วมาพิจารณาดาวฤกษ์หรือดาวนักษัตรที่วางฤกษ์ อ้างอิงคัมภีร์โหรภารตะ กลุ่มดาวนักษัตรที่ทรงพลังที่สุดในจักราศี สำหรับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆก็คือ”อัศวินีนักษัตร”ซึ่งเป็นนักษัตรแรกในราศีเมษ ส่วนกลุ่มดาวนักษัตรที่ให้โทษร้ายรุนแรงที่สุดจักราศีก็คือ “ภรณีนักษัตร” (มหัทธโนฤกษ์แบบไทย) ก็อยู่ติดกันในราศีเมษเช่นกัน

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยว่า คณะโหราพราหมณ์จะวางฤกษ์ให้ตรงกับ“ภรณีนักษัตร” ซึ่งเป็นนักษัตรที่ครองโดยพระยม เทพเจ้าแห่งความตาย แม้แต่ผู้เขียนเองเวลาให้ฤกษ์มาเกือบ 20 ปีก็ไม่เคยให้จันทร์เสวย “ภรณีนักษัตร” เลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะให้โทษร้ายรุนแรงมาก ตามหลักของ คัมภีร์มุหูรตะ

ดั้งนั้นก็เลยเหลือเพียงนักษัตรเดียวในราศีเมษ ที่เหมาะสมที่สุดในการวางลัคนาดวงฤกษ์ และองศาของดวงฤกษ์มีกฎว่าจะต้องเสวยเสวยศุภนวางศ์(นวางที่ดี)คือนวางศ์จันทร์ และศุภตรียางค์(ตรียางค์ที่ดี)ก็คือตรียางค์อาทิตย์ เพราะอาทิตย์ได้ตำแหน่งสูงส่งมาก คือได้ บรมอุจน์

ก็บังเอิญพอดีเมื่อผู้เขียนคำนวณหาเวลาที่จะต้องวางลัคนา ตามเงื่อนไขข้างต้นปรากฏว่า น่าอัศจรรย์เพราะลัคนาในดวงฤกษ์กุมกับดาวอาทิตย์สนิทองศา เท่ากับว่าลัคนาได้ตำแหน่งที่เข้มแข็งเทียบเท่ากำลังของดาวอาทิตย์  ดังนั้นดาวอาทิตย์ในดวงฤกษ์นี้จึงหมายถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” เท่านั้น ซึ่งมิใช่หมายถึงผู้นำ ผู้ปกครอง หรือประธานาธิบดี ตามความหมายทั่วไป

ก็จะเท่ากับว่า ลัคนา ราศีเมษ  10°45'  + อาทิตย์  10°07' องศาคือตำแหน่งที่แน่นอนที่สุดในดวงฤกษ์นี้ ดังนั้นเวลาย่ำรุ่ง+9บาท  ก็จะเท่ากับเวลาย่ำรุ่ง 05.09 น. + 54 นาที ก็จะเป็นเวลาท้องถิ่นคือ เวลา 06.05 น.

ดั้งนั้นอย่าลืมว่าในเดือนเมษาฟ้าจะสว่างเร็วและจะมืดช้ากว่าปกติ บางสถานที่ แค่เวลา ตี4 กว่าๆ ก็เห็นแสงเงินแสงทองที่ขอบฟ้าแล้ว สรุปว่าเมื่อเราได้เวลาฤกษ์ตั้งพระนครแล้ว เราก็ต้องสงสัยกันต่อไปว่าทำไม โหรพราหมณ์ทั้งหลายกลับวางดาวดีดี เช่น ดาวพุธ ดาวศุกร์เอาไว้ภพวินาศแถมวางร่วมกับราหูเสียอีก และดาวจันทร์ทำไมจึงวางไว้ในราศีกรกฏ ส่วนพฤหัสกับเสาร์คู่แค้นกันทำไมต้องกุมกันอยู่ในราศีธนู  

เดี๋ยวเรามาหาคำตอบในตอนหน้าครับ