ติดต่อสอบถาม กรุณาแอด Line @astroneemo

  • Slider 1
  • Slider 2
  • Slider 3
  • Slider 4
  • Slider 5
  • Slider 6
  • Slider 7
  • Slider 8

Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

ct gods destiny

เปิดตำนานเทพไท้ส่วยเอี๊ย

ไท้ส่วยหรือไท่ซุ่ย เป็นอีกชื่อหนึ่งของดาวพฤหัสบดีในภาษาจีนโบราณ ซึ่งรวมความถึงเทพเจ้าผู้ทรงอิทธิ์ฤทธิ์ทำหน้าที่คุ้มครองให้คุณให้โทษแก่ดวงชาตาทุกดวงในผืนพิภพแห่งนี้ และในโหราศาสตร์ระบบภูมิพยากรณ์หรือฮวยจุ้ย ไท้ส่วยก็มีอิทธิพลอีกไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งในการประกอบกิจการใดใดก็ตามคนจีนมักจะพึงซินแสหรือฤกษ์ยามอันเหมะสมใน เช่นขุดดิน ขุดคลอง สร้างบ้าน  จะต้องหลีกเลี่ยงมิให้กระทบกับทิศทางที่สถิตของไท้ส่วยในปีนั้นๆหากไม่แล้ว ก็จะต้องถูกลงโทษลงทัณท์ เคราะห์หามยามร้ายก็จะถามหา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนกลายเป็นคำพังเพยของคนจีนสมัยก่อนมักกล่าวว่า “ใครจะกล้าขุดดินบนหัวของไท้ส่วย” ซึ่งปัจจุบันแผลงความหมายเป็นการล่วงเกินผู้มีอำนาจหรือผู้มีอิทธิพล

ปัจจุบันคนเข้าใจเกี่ยวกับไท้ส่วยน้อยมาก จนเกือบจะกล่าวได้ว่าแทบไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของไท้ส่วยว่าเป็นใครมาจากไหน  จนหลายคนรู้สึกหวาดผวาเมื่อได้ยินคำว่า”ชงไท้ส่วย”  หรือหลายๆคนเข้าใจเอาเองว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการลงโทษทัณท์ เป็นปีศาจร้าย หรือเป็นอะไรก็ตามที่จะต้องเอาอกเอาใจกราบไหว้อ้อนวอน

อย่างที่กล่าวมาแล้ว “ไท้ส่วย”ก็คือดาวพฤหัสบดี ซึ่งในทางคติความเชื่อทางเทววิทยาและโหราศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นไทย อินเดีย หรือโหราศาสตร์ตะวันตกก็ตาม ต่างก็เห็นฟ้องต้องอย่างน่าประหลาดว่า ดาวพฤหัสบดี เป็นประธานแห่งดาวศุภเคราะห์ทั้งมวล เป็นดาวแห่งคุณธรรม ความดี โชคลาภ โภคทรัพย์ ทรัพย์สิน เป็นดาวแห่งคุรุผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งแสดงถึงความรู้ความสามารถ เป็นดาวแห่งตุลาการ ความยุติธรรม และการแผ่ขยายอันไม่มีที่สิ้นสุด   ยอดธง ทับทิวไม้ เขียนไว้ในหนังสือเรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเองว่า “ พฤหัสบดีสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือและปกปักรักษาให้พ้นจากเคราะห์ร้ายใดใดได้ ในนาทีสุดท้าย สามารถที่จะทำลายและขจัดปัดเป่าเคราะห์ร้ายเหล่านั้นให้หมดไปได้ เพราะ ฉะนั้นดาวพฤหัส ไม่เพียงแต่จะให้ความมั่งคั่งร่ำรวยเท่านั้น พฤหัสบดียังสามารถกำจัดปัดเป่าเคราะห์หามยามร้ายในดวงชาตาได้อีกด้วย”

อย่างไรก็ตามในหลักโหราศาสตร์ไทยเรานั้น ท่านว่าหากมีดาวปาปเคราะห์ใดที่ร้ายๆเช่น ดาวอังคาร ดาวราหู หรือร้ายหนักๆอย่างดาวเสาร์ซึ่งเป็นดาวประธานแห่งปาปเคราะห์จะให้โทษแก่ลัคนาแล้ว  แต่ในดวงเดิมหรือดวงจรมีดาวพฤหัสบดีโคจรมาทำมุมหรือมีโยคเกณฑ์ที่ดีต่อลัคน์แล้ว ท่านว่า สามารถคุ้มครองและสลายภัยร้ายในดวงชาตาได้ แต่ในทางกลับกันหากดวงชาตาใดมีดาวพฤหัสจรมาและให้โทษแล้วละก็ ดาวศุภเคราะห์ดวงไหนๆจะกี่สิบดาวก็ไม่สามารถคุ้มภัยหรือปกป้องได้เลย  ตามตำราโหรสมัยโบราณกล่าวถึงพระเคราะห์คุ้มโทษว่าไว้ดังนี้

" (1) ราหูสู่ร้ายแสนเพรง ทำโทษลัคน์เกรง ซึ่งภัยพิบัติมีมา

แม้นว่า พระเสาร์ แสงพุธา ให้คุณลัคนา แลโทษทั้งนั้นบรรเทา
(2) ผิวะราหูและเสาร์ ทำโทษหนักเบา แก่ลัคนาสามานย์

แม้นว่า องค์พระอังคาร ให้คุณลักขณาการ เหือดโหดซึ่งโทษทั้งหลาย

(3) ผิวะโสราราหูคู่สบาย อังคารพุธผาย มาถึงซึ่งโทษลัคนา

ศุกร์ให้คุณอาจคุ้มโทษา สรรพเคราะห์นานา ย่อมเยาว์ซึ่งภัยราคี

(4) ผิวะว่าราหูเสาร์ ศุกร์สามสี่และพุธามี ให้โทษชะตาถึงลัคน์

แม้นว่าพระจันทร์จรจัก ให้คุณหนุนลัคน์ มิให้โทษโหดสูนย์

(5) ผิวะว่าหกพระเคราะห์ ให้โทษเพิ่มพูน มาตรแม้นพระสูรย์ ให้คุณก็คุ้มอันตราย

(6) ผิวะว่าสรรพเคราะห์มาดหมาย ให้โทษแก่ลัคน์ พฤหัสบดีให้คุณคุ้มภัย

แม้พฤหัสให้โทษแก่ลัคน์ใคร บ่มีพระเคราะห์ใดใด อาจคุ้มครองแลนา ฯ "

และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งในการเซ่นไหว้บูชาเทพดาวพฤหัสเพื่อขอความคุ้มครอง

ปกป้องภัยร้ายทั้งหลายทั้งปวง

คติความเชื่อของจีนเอง ความหมายของดาวพฤหัสบดีก็ไม่ต่างไปจากข้างต้น  ฉะนั้นไท้ส่วยเองก็เช่นเดียวกัน ในสมัยโบราณระบบโหราศาสตร์และดาราศาสตร์คือสิ่งที่แยกกันไม่ออก โชคเคราะห์ของบุคคล มีเทพเจ้าประจำดวงดาวเป็นผู้กำหนด ลัทธิเต๋าเป็นลัทธิหนึ่งเดียวที่ผสานความเชื่อทางเทววิทยา เทพและปิศาจ การบันดาลโชคและเคราะห์ ความดีความชั่ว ดำและขาว โหราสตร์และดาราศาสตร์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนยิ่ง

ไท้ส่วย ทั้ง ๖๐ องค์นี้คือการผสมผสานและการตกผลึกทางภูมิปัญญาของจีนในสมัยโบราณ รวมถึงคติความเชื่อ ขนบประเพณีและค่านิยมจนกระทั่งปรัชญาการปกครองไว้ได้อย่างเยี่ยมยอด

โดยนำเอาปีนักษัตรทั้ง ๑๒ ผสมธาตุทั้ง ๕ รวมเป็น ๖๐ ธาตุเรียกว่า “หลักจับกะจื้อ” นำมากำหนดเป็นรอบปี หมุนเวียนต่อเนื่องกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  เพื่อสำหรับอธิบายการก่อกำเนิดและเชื่อมโยงของกันและกันของทุกสรรพสิ่งตามทฤษฎีแห่งเต๋า

ปีทั้ง ๖๐ ปีนี้แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ดีโดยการใช้บุคลาฐิษฐาน  หรือใช้การบุคคลทั้ง ๖๐ คนมาแทนจำนวนปีทั้ง ๖๐นั้นเรียกว่า”ไท้ส่วยเอี๊ย” หรือเทพเจ้าแห่งดวงชาตา

ที่มาที่ไปแต่ละองค์รวมถึงประวัติความเป็นมา ได้มาจากบุคคลที่มีเกียรติศักดิ์และฐานันดรต่างกัน ต่างเวลาและต่างสถานที่กัน  แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ต่างก็ได้เป็นผู้มีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ และทำคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงให้แก่แผ่นดิน มีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ได้รับการสดุษฎีกล่าวขวัญในเกียรติคุณความดีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานนับพันปี อีกทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับอนุชนรุ่นหลัง แม้ภายหลังเมื่อชีวิตหาไม่แล้วต่างก็ได้รับการสถาปนาอวยยศให้เป็น”เซียน”หรือเทพเจ้าที่คุ้มครองบ้านเมืองในสมัยนั้น

วีรบุรุษและขุนพลที่มีชื่อเสียงในสมัยราณทั้ง ๖๐ ท่านนั้นจะได้รับการสถาปนาเป็นเทพเจ้าแห่งดาวพฤหัสบดีผู้ซึ่งคุ้มครองดวงชาตาหรือ”ไท้ส่วยเอี๊ย”นั้น  เมื่อใดไม่ปรากฏชัด  แต่อารามในลัทธิเต๋าทุกอารามต่างก็มีรูปปั้นของท่านเหล่านั้นสถิตอยู่เนิ่นนานแล้ว มีการกราบไหว้บูชาขอพรกันสืบเนื่องมาเป็นประเพณีนับพันปี ซึ่งทุกท่านต่างก็ได้รับการสถาปนาเป็น “ไต่เกียงกุง” หรือ”จอมทัพ” ทำหน้าที่คุ้มครองดวงชาตาชาวประชาทั้งมวล

 

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดเผยประวัติขององค์ไท้ส่วยทั้ง ๖๐ องค์ที่ถูกปกปิดมาช้านาน โดยได้รับการสนับสนุนข้อมูลประวัติองค์ท่านจากอารามลัทธิเต๋าแห่งหนึ่งในประเทศจีน และขอขอบพระคุณ วิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม (ศาลเจ้าหน่าจาไท่จือ) ต.อ่างศิลา จ.ชลบุรี เอื้อเฟื้อภาพประกอบ  และแท้ที่จริงแล้วพบได้ว่าในประวัติของท่านเหล่านั้นกลับมีความเมตตากรุณาเป็นที่ยิ่ง มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้งซึ่งเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานขององค์ไท้ส่วยทุกๆองค์ ซึ่งมิได้ต่างไปจากความหมายของดาวพฤหัสบดีเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหากเราได้เรียนรู้และศึกษาประวัติความเป็นมาของท่าน และน้อมนำจริยาและวัตรปฎิบัติ ของท่านนำไปปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว ก็ถือได้ว่าท่านได้กระทำการปฎิบัติบูชาแด่องค์ไท้ส่วยที่ถูกต้องที่สุด องค์ท่านก็ย่อมที่จะเมตตาคุ้มครองดวงชาตาของเราให้ประสบแต่ความสุขความเจริญ มิให้มีเหตุเภทภัยภยันตรายใดใดมากล้ำกรายได้

ด้วยความเคารพรักและศรัทธา แด่ท่านผู้อ่านทุกท่าน

Neemo

๗ มกราคม ๒๕๕๐