บทที่สาม
ตรวจสอบ
คัมภีร์ : ยังมีเทพเจ้าดาวเหนือสามองค์ อยู่เหนือศีรษะมนุษย์ บันทึกชั่วบาป คอยตัดอายุขัย
อธิบาย : นี่เป็นการพูดถึงร่างกายของมนุษย์ อิริยาบถเดินหยุดนั่งนอน ล้วนมีเทพเจ้าคอยตรวจสอบ เป็นเทพเจ้าสามองค์ ซึ่งเป็นดาวเทพเจ้าของกลุ่มดาวเหนือ จะลอยอยู่เหนือศีรษะของมนุษย์ คอยบันทึกการกระทำว่าทำบาปชั่วอะไรบ้าง กรรมที่ทำมีหนักมีเบา แล้วนำมาตัดทอนอายุขัย พูดถึงอายุขัยของมนุษย์ 12 ปี เรียกว่าหนึ่งรอบ(อิจี่) หนึ่งร้อยวันเรียกว่า อิซ้วน ดาวเทพทั้งสามจะควบคุมอายุขัยของคนว่าสั้นหรือยาว เทพเจ้าดาวเหนือจะควบคุมความดีความชั่วของคน ในพระสูตรเหตุปัจจัยว่า “ปราณของดาวเจ็ดดวงรวมกันเป็นดาวหนึ่งดวง อยู่เหนือศีรษะของคนประมาณ 3 นิ้ว หากคนนั้นเป็นคนที่ทำความดี บนศีรษะจะมีแสงสว่าง ถ้าหากคนนั่นทำความชั่วแสงที่ออกมาจะเป็นแสงสีเทา ถ้าหากเป็นคนที่ทำมหากุศล แสงบนศีรษะยิ่งสว่างไสว ถ้าเป็นคนทำความชั่วมาก แสงบนหัวจะไม่มีเลยแสงชนิดนี้จะมองไม่เห็นตัวแสง เทพเจ้าจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
นิทาน : ในสมัยราชวงศ์ถัง มีขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ โหลวซือเต๋อได้รับความพอใจจากฮ่องเต้ถังเกาจงมาก เขาก็ได้สนองพระเดชพระคุณต่อราชสำนักมาก ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่โหลวซือเต๋อลุกจากที่นอน ก็พบดาวเทพพูดกับเขาว่า “เธอได้พลาดฆ่าชีวิตคนไป 2 ชีวิต โทษครั้งนี้ควรตัดอายุขัย 12 ปี แสงบนศีรษะเธอใกล้จะดับลงแล้ว” โหลวซือเต๋อรู้สึกว่าดวงวิญญาณมึนงงไปบ้าง เพราะเหตุนี้เขาจึงบอกแก่คนรอบข้างของเขาว่า “ตลอดชีวิตการทำงานของข้าจะระมัดระวังมาก แต่เพราะพลาดจนทำให้ชีวิตคน 2 คนต้องตายไป ตอนนี้ก็จะให้ข้าตายเร็วขึ้น 12 ปี” ต่อมาไม่นาน เขาก็ตายจากไปจริงๆ
สรุป : ท่านจางหงจิ้งกล่าวว่า “ตลอดชีวิตของโหลวซือเต๋อ ก็ทำงานเพื่อคนอื่น เป็นผู้ได้รับการยกย่อง เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่สำคัญต่อราชสำนัก แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นความผิดจนถูกตัดขัยไป 12 ปี แล้วนับประสาอะไรกับบุคคลทั่วไป ไม่รู้ว่าได้ทำวิบากกรรมอะไรเอาไว้มากมายแค่ไหน ขอให้ดูโหลวซือเต๋อเป็นตัวอย่าง จะไม่พยายามระมัดระวังเลยหรือ !
คัมภีร์ : ยังมีเทพอีกสามตนอยู่ในกายตน เมื่อถึงวันแกซิง ก็ขึ้นทูลพระเจ้าเบื้องบน รายงานความชั่วบาปมนุษย์
อธิบาย : มีเทพสามตนที่อยู่ในกายคน ไม่ว่าจะเป็นใจปากความคิดและคำพูด ไม่อาจจะปิดบังเทพทั้งสามได้ พอถึงวันแกซิง ก็คือวันที่พระเจ้าจะตัดสินความดีความชั่วของคน เทพทั้งสามนี้ก็ขึ้นไปที่ทำการของพระเจ้า รายงานความชั่วความดีของคนตามความจริง
พูดถึงใจคน ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็อยู่ในความควบคุมของเทพ เทพสีฟ้าด้านบนชื่อ เผิงจี สถิตอยู่บนศีรษะของคนเทพตนนี้ทำให้คนคิดคำนึงมาก มีความอยากมาก ทำให้คนตาลายหน้ามืด ผมร่วง เทพสีขาวกลางตัวชื่อ เผิงเจ๋อ สถิตอยู่ในท้องของคนเทพตนนี้ทำให้คนชอบดื่มกินแล้วลืมงานมาก และก็ทำให้ชอบทำความชั่วเทพสีเลือดทางตอนล่างของตัวชื่อ เผิงเฉียว สถิตอยู่ที่ขาของคน เทพตนนี้ทำให้คนชอบกามารมณ์ ชอบฆ่าคน ทำให้คนอยู่ไม่เป็นสุข การกระทำของเทพ 3 ตนนี้ มีจุดมุ่งหมายทำให้คนตายเร็วขึ้น เพื่อทำให้คนกลายเป็นผีได้เร็ว จะได้ไปกินของที่เขานำมาเซ่นไหว้ เพราะฉะนั้นในวันแกซิง ตอนคนกำลังหลับสนิท ก็จะนำพาเจตภูตของคนขึ้นไปหาพระเจ้า ไปรายงานความชั่วบาปของคน เพราะฉะนั้น เวลาใจปากความคิดและคำพูดของคนเพียงขยับเคลื่อนไหว เทพทั้งสามจะได้ยินชัดเจน คนในปัจจุบันไม่รู้จักสำรวจตนเอง ไม่รู้จักกดข่มตนเอง ไม่ทำให้จิตใจใสสะอาด มักน้อยในกามารมณ์ ท่านเฉินจื่อ ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เขียนกลอนไว้ว่า “ไม่เผ้าวันแกซิงไม่สงสัย ให้ใจนี้พึ่งธรรมเป็นนิจพระเจ้าก็รู้การกระทำตน ต่อให้สามเทพพูดเหลวไหล”
คัมภีร์ : ในวันสิ้นเดือน เทพแห่งเตาไฟก็เช่นกัน
อธิบาย : วันสุดท้ายของปฏิทินจันทรคติเช่น เทพแห่งเตาไฟก็เหมือนกัน วันนี้เป็นการพูดถึงครอบครัวของมนุษย์ การกระทำของมนุษย์ล้วนอยู่ในการเฝ้ามองของเทพ เทพแห่งเตาไฟจะควบคุมขุตากรรมของคนทั้งบ้าน เพราะฉะนั้น จึงเรียกผู้บัญชาการ ไม่ว่า ชายหญิงเฒ่าวัยในบ้าน ที่ทำบาปไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เทพเตาไฟจะตรวจสอบหมด พอถึงวันสิ้นเดือน ก็จะขึ้นไปรายงานสองเทพ คือสุริยันจันทรา ทั้งยังไปบันทึกความผิดลงในสมุด การกระทำขสองชาวโลกรู้เพียงความสุขเฉพาะหน้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องถามว่าเทพเจ้าแห่งเตาไฟคอยจดความผิดหรือไม่
นิทาน : แถวเมื่องจุ่นจวิน มีนักศึกษาคนหนึ่ง แต่ละครั้งที่เมาสุราเขาก็จะลวนลามสาวใช้ในบ้าน สาวใช้รู้สึกอับอาย ก็จะแข็งขืนต่อการลวนลาม ด้วยเหตุนี้เธอก็จะหาโอกาสหลบหลีจากเจ้านาย ขณะนั้นพอดีเป็นวันสิ้นเดือนพอดี นักศึกษาคนนี้กำลังนอนถึงตี 4 ภรรยาเขาตื่นขึ้นมาเรียกเขาให้ตื่นแล้วก็เล่าให้ฟังว่า “เมื่อครู่นี้ฉันได้เห็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง บนศีรษะสวมหมวกทรางสี่เหลี่ยม กายสวมเสื้อสีดำ ทรงม้าวิ่งไปทั่ว พกสมุดติดตัวแล้วก็มุ่งมาทางฉัน ชี้มาที่ฉันแล้วก็ขีดลงในสมุดจากนั้นก็วิ่งออกไป ฉันฟังไม่ชัดเจนและก็ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับฉันเพียงรู้สึกว่าน่าเกรงขาม ฉันก็ตกใจตื่นขึ้นมา” นักศึกษาคนนี้ฟังภรรยาเขาพูดเช่นนี้ ทำให้รู้สึกขนลุกซู่ซ่านเข้าไปในกระดูก แล้วก็พูดกับภรรยาว่า เทพเจ้าองค์นี้คงจะเป็นเทพเจ้าแห่งเตาไฟ ต่อมาภายหลังเขาก็แต่งงานสาวใช้ให้กับผู้อื่นไป หลังจากนั้นก็พูดกับภรรยาเขาว่า “เมื่อก่อนโน้นที่เธอได้ฝันว่าเทพเตาไฟชี้มือมาที่เธอนั้น เป็นเพราะฉันเมื่อก่อนชอบลวนลามสาวใช้คนนี้ แต่เป็นเพราะเธอแข็งขืนต่อต้านจึงรอดตัว ไม่คิดว่าวันนั้นเทพเจ้าก็มาตักเตือน ฉันคิดว่าเรื่องนี้ แม้จะยังไม่สำเร็จล่วงละเมิด แต่ในใจก็มีบาปบันทึกไว้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงถูกเทพเจ้าเตาไฟจดบันทึกลงสมุดเพื่อรายงานเบื้องบน เมื่อก่อนนี้ฉันไม่กล้าบอกกับเธอ เป็นเพราะกลัวเธอจะระแวงและกลัวว่าเธอจะทำสาวใช้คนนี้เดือดร้อน วั้นนี้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ของสาวใช้ประการหนึ่ง และแสดงถึงความผิดที่ฉันได้ล่วงละเมิดไปแล้วอีกประการหนึ่ง เป็นการสำนึกผิดต่อเธอด้วย !
คัมภีร์ : ผู้มีความผิด มหันต์ตัดขัยหนึ่งรอบลหุตัดขัยร้อยวัน
อธิบาย : ใครก็ตามที่เคยทำความผิดมาแล้ว ก็ยากที่จะหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเทพเจ้าได้ คนที่ทำความผิดไว้มากก็จะถูกตัดอายุขัยหนึ่งรอบคือ 12 ปี คนที่ทำผิดเล็กน้อยก็จะถูกตัดอายุขัยครั้งละหนึ่งร้อยวัน อันนี้เป็นการกำหนดบทลงโทษ
ประโยคนีน้มีความหมายคือ ตลอดชีวิตของคนไม่ว่าจะเป็นกายใจหรือครอบครัว ทุกแห่งหนล้วนมีเทพเจ้าคอยตรวจสอบ จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้คนรู้จักระมัดระวัง ภายหลังคนปฏิสนธิขึ้นในครรภ์แล้ว ช่วงของอายุขัยจะเพิ่มหรือลดล้วนมีบันทึกไว้แล้ว ท่านไท่ซั่งได้บัญชาให้เทพเจ้าทั้งหลายว่า “พวกท่านที่เข้าตรวจสอบความดีความชั่วของคน ต้องกำหนด 3 วันพูดครั้งหนึ่ง 10 วันกราบทูลครั้งหนึ่ง 100 วัน หนึ่งสรุปยอดครั้งหนึ่ง หากเป็นการทำความดีสร้างกุศล คนๆ นี้ก็สามารถที่จะยืดอายุให้ยาวขึ้น ถ้าหากเป็นการทำชั่วก็ให้ตัดทอนอายุขัยทันที” เพราะฉะนั้น โทษเบาโทษหนัก ก็ตัดทอนร้อยวันหรือหนึ่งรอบ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากนะ !
นิทาน ๑ : ในสมัยราชวงศ์หมิง มีพระภิกษุนิกายเทียนไถ คือ พระธรรมาจารย์หวังปี่หยู ในสมัยหนุ่มเขาสอบบรรจุรับราชการได้ จึงถูกส่งไปเป็นนายอำเภอซินจิน เขาเป็นผู้รักษาศีลมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาจะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ละเมิดกาม ไม่พูดหลอกลวง ศีล 4 ข้อนี้เขารักษามาตลอด จนกระทั่งเข้ารับราชการเขาก็เลิกรักษาศีล ต่อมาเขาได้รับคำสั่งให้เข้าเฝ้า เขานั่งเรือมาในระหว่างทาง ขณะที่เรือแวะพักที่ทะเลสาบบู่หู วิญญาณถูกยมทูตพาไปยังยมโลก เขาเห็นเจ้ายมบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ ข้าง มียมทูต 2 ตนอยู่ซ้ายขวา เจ้ายมบาลเรียกชื่อของเขา และก็ดุใส่เขาว่า “หวังปี่หยู อายุขัยของเจ้าจบลงแค่เดือน 8 เมื่อปีก่อนเท่านั้น แต่ที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ ก็ด้วยแรงกุศลที่ถือศีลเจมา แล้วทำไมตอนนี้จึงเลิกเสียเล่า” เจ้ายมบาลพูดจบก็สั่งให้ยมทูตนำสมุดบันทึกให้หวังปี่หยูดู หวังปี่หยูเห็นชื่อเขาและบันทึกรายการของวันเดือนปีต่างๆ แต่พอถึงเดือน 8 ปีกลาย ก็จบลงเขาเห็นแล้วก็ก้มกราบเจ้ายมบาลว่า “ตอนรับราชการไม่มีความสะดวกในการกินเจ เลยเลิกถือศีลเจ อันนี้เป็นเพราะจำใจ” เจ้ายมบาลว่า “เจ้าพูดพอมีเหตุผลบ้าง แต่อายุขัยของเจ้าหมดแล้ว” พูดจบก็สั่งให้ยมทูตนำเขาเข้าไปในนรก ตอนนี้ผีร้ายต่างๆ ก็รุมกันเข้ามา ทำท่าจะเข้ามาจับอย่างนั้น ขณะนั้นยมทูตที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของเจ้ายมบาลก็พูดขึ้นว่า “หากไม่เป็นไรก็เอาเรื่องราวต่างๆ ที่หวังปี่หยูเลิกถือศีลมาสำรวจดูบ้าง” ไม่นานนัก เหล่าสมุนยมฑูตก็นำเอาหีบใหญ่ๆ 2 หีบยกมา ล้วนเป็นงานที่หวังปี่หยูทำภายหลังรับราชการ ไม่ว่าจะเป็นจดหมาย หรือบทความ หรือข้อเขียนต่าง ๆ ในแต่ละวัน ล้วนปรากฎ มีปราณกระเพื่อมขึ้นมา บ้างสีเขียว สีดำ สีแดง สีขาว แตกต่างกันเจ้ายมบาลสั่งให้แยกเป็นพวกๆ แล้วตรวจดูสีเขียวกับสีดำก่อน วางไว้กองหนึ่ง ต่อไปตรวจสีขาวแล้วไว้อีกกองหนึ่ง ตรวจดูสีแดงแล้วไว้ที่เดียวกัน ตอนนี้สีเขีวยอันตรธานหายไป สีดำก็หดเล็กจนเหลือแค่ตะเกียบอันหนึ่ง ส่วนสีแดงกลับปรากฎเด่นชัดขึ้น หวังปี่หยูเห็นกองสีแดงชัดเจน ที่แท้เป็นบทวัชรปรัชญาปรามิตาสูตร คัมภีร์ปฏิสนธิดีเมื่อสมุนยมทูตตรวจเสร็จ ตอนนี้น้ำเสียงของเจ้ายมบาลนุ่มนวลขึ้นจึงพูดกับยมทูตทางซ้ายมือว่า “เอ้อ ! เจ้ายังรู้จักสั่งสมบุญกุศล พอมีเหตุผลให้มีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ทำลายอวัยวะของเขา ให้กายสังขารเขาอยู่ได้ ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ ! พูดจบก็ให้สมุนยมฑูตเข้ามาควักลูกตาสองข้าง แล้วเอาวางไว้บนหัวเสาบนบัลลังก์ แววตาก็ยังแวววับส่องได้รอบๆ ตอนนี้หวังปี่หยูนึกขึ้นได้ “ตาของฉันถูกควักออกไป จะมองเห็นได้อย่างไร” แค่พริบตาเขาก็เป็นลมล้มลง ยมบาลยมทูตก็หายวับไป ต่อมาก็มีใครตบหลังเขาเบาๆ พูดว่า “หวังปี่หยูเดินเถอะ ไปได้แล้ว !” แพล็บเดียวเขาก็ล้มลงตกใจตื่นขึ้นมา วันรุ่งขึ้นตาเขาก็บอดทั้งสองข้าง ดังนั้น เขาจึงละทิ้งครอบครัวไปปฏิบัติธรรมต่อมาเขาก็บรรลุธรรม ตาทั้งสองก็กลับมองเห็นได้อีก หวังปี่หยูก็ออกจาริกไปทั่ว เห็นสัจธรรมประจักษ์แจ้ง บำเพ็ญวิถีมหาเมตตา จึงมีชีวิตต่อมาอีก 12 ปี
จากชีวประวัติของท่านหวังปี่หยู นอกจากปราชญ์อริยเจ้าแล้วคนต้องรู้ว่าแต่ละวันไม่มีหรอกที่ไม่ทำผิด หากสามารถหันกลับแก้ไขเปลี่ยนแปลง ก็สามารถแก้ไขความผิดได้ มิฉะนั้นแล้วเหตุที่ก่อไว้อยู่ไม่ไกลนักหรอก ทั้งวิบากกรรมที่สร้างเพิ่มอีกในภายหลัง แม้จะมีบุญตอบสนองที่มีมากหรือลูกหลานมากก็ตามทีเถอะ เมื่อลมหายใจขาดผึงลง อะไรๆ ก็เอาติดตัวไปไม่ได้ แต่เวรกรรมที่ตนทำเอาไว้ติดตามตัวไป ตอนนั้นก็จะเห็นเจ้ายมบาลตรวจสอบก็ทุกข์ลำบากเสียแล้ว สมบัติเอาไปได้ไหม ลูกหลานรับหนี้แทนเธอได้ไหม เราต้องคิดใคร่ครวญให้ดีๆ !
นิทาน ๒ : ในสมัยราชวงศ์ซ่ง นางหูจงสิ้ง มีฐานะร่ำรวยและชอบบริจาคมาก แต่พออายุได้ 35 ปี เขาก็ล้มป่วยหะทันหัน การเจ็บป่วยทรุดหนักจนอันตราย ทั้งตนเองก็พูดถึงเรื่องยมโลก เขาได้พบกับเพื่อนเก่าๆ หลายคนถามเขาว่า “ท่านผู้มีพระคุณ! ทำไมท่านจึงมาถึงที่นี่เล่า!” เพื่อนเก่าๆ ต่างช่วยพากันก้มคำนับต่อยมฑูตตนหนึ่งเพื่อไต่ถาม ยมทูตพูดว่า “หูจงสิ้งคนนี้เดิมที่มีดวงชะตาเป็นผู้อดอยากเพราะว่าเขาเป็นผู้ชอบช่วยเหลือคนอื่น เพราะฉะนั้น จึงตั้งตัวได้และจะมีอายุขัยถึง 59 ปี แต่ว่าต่นเองไม่จุดธูป นอนดึก บุญกุศลหมดสิ้นแล้วตอนนี้” เพื่อนเก่ายังพูดว่า “ไม่จุดธูปเพราะใจไม่เคารพฟ้าดิน นอนดึกเพราะมีจิตใจหมกมุ่นในกาม ทำไมจึงว่าเป็นเรื่องผิดเล็กๆ” พอพวกเขาได้ยินแล้ว ต่างพากันตกใจมองมาทางหูจงสิ้งแล้วพูดว่า “ผู้มีบุญกุศลเช่นหูจงสิ้ง เป็นเพราะแค่เรื่อง 2 เรื่องก็ถูกตัดอายุขัย แล้วคนทั่วๆ ไปจะปล่อยปละละเลยตนเองได้หรือ” ต่อมาไม่นานนัก หูจงสิ้งก็ตายไป
สรุป : ควรรู้ว่าอายุขัยเป็นสิ่งที่คนได้มาด้วยยาก มักถูกตัดอายุขัยไปโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นท่านไท่ซั่งจึงสอนหลักธรรมเหล่านี้ให้ฟังก็เพื่อตักเตือนชาวโลก ต้องสนใจระมัดระวังความคิดของตน อย่าได้คิดผิดไปนิดเดียว บุญวาสนาที่สามารถเสวยได้ก็จะหลุดลอยไป ท่านไท่ซั่งมีมหาเมตตาต่อชาวโลกเสียจริงเลย
คัมภีร์ : ความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อยอยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย
อธิบาย : เรื่องราวต่างๆ ที่เป็นโทษบาปเป็นเวรกรรม ทั้งบาปมากบาปน้อย มีเป็นร้อยๆ เรื่องคนที่คิดจะมีอายุให้ยืนยาวก็ต้องหลบเลี่ยงเวรกรรมเหล่านี้
ท่านไท่ซั่งจะสอนคนให้หลีกเลี่ยงการทำความผิดไว้ก่อน บอกด้วยว่ามีมากมายเป็นร้อยเรื่อง ก็มีการยกตัวอย่างไว้บ้างในคัมภีร์เริ่มต้นจาก “อะไรไม่ถูกต้องไม่กระทำ” ถึง “ตายก็ยังเกินเลย” บาปกรรมที่ทำดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นที่พูดถึงการตัดทอนอายุขัย ซึ่งสอนคนให้รู้จักระมัดระวัง พอมาถึงตอนนี้ก็มาพูดถึงการมีชีวิตยืน เป็นการสอนคนให้รู้จักนิยมชมชอบ กล้าหาญที่จะแก้ไขความผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่กล้าทำ อย่างนี้ก็ต้องอายุยืนยาวเป็นผลตอบแทน
โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม ล้วนต้องสั่งสมบุญกุศล อบรมตนเองด้วยคุณธรรมเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐาน ถ้านำเอาหลักปฏิบัติของท่านขงจื่อมีหลัก “สี่ตรงร้อยกระทำ” ในพุทธธรรมมี “บารมีหก” ทางลัทธิเต๋ามี “สามพันบุญแปดร้อยกุศล” เหล่านี้ล้วนเป็นการสั่งสมบุญกุศล หลบเลี่ยงบาปทั้งสิ้น ดังนั้น การที่คิดจะสั่งสมบุญกุศลเพื่อแก้บาป ก็ต้องเรียนรู้ถึงธรรมอันสูงสุด หากจะเรียนรู้ถึงธรรมอันสูงสุด ก็ต้องมีความเข้าใจแจ่มแจ้งในใจตน เพราะว่าใจคือองค์ธรรม และธรรมก็คือกิริยาของใจหากคนสามารถสำรวจตรวจตราใจเพ่งจิต จนเห็นองค์ธรรมกลมสว่างจนปรากฎตรงหน้า เป็นกิริยาที่ไม่มุ่งหวังไม่กระทำ ก็สำเร็จได้เองไม่ต้องอาศัยบารมีอะไร ก็จะสามารถหลุดฉับพลันถึงฝั่งโน้น นี่ถ้าไม่ใช่บำเพ็ญจนใจโปร่งใส เหมือนดวงมณีที่โปร่งใสแล้ว จะสามารถทำให้ความคิดต่างๆ ห่างหายไปฉับพลันได้หรือ ฝุ่นกิเลสไม่อาจเปรอะเปื้อนได้ มูลใจอิสระ ตั้งใจไม่เกิดแน่นอน เพราะฉะนั้น คนที่บำเพ็ญจนองค์ธรรมสว่าง ไม่ทำให้กายสังขารไปถ่วงจิตเดิม ไม่ถูกสภาวะภายนอกมาทำให้ใจจริงของตนสับสน สามารถตอบรับต่อสรรพสิ่งตามกลไกสัมพันธ์ ก็จะมีหลักธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับเหลืออยู่นี่ก็คือการเข้าถึงธรรมอันสูงสุด
นิทาน : มีเทพธิดานางหนึ่งนามว่า หยางเจิ่นเจี้ยน นางบำเพ็ญบารมีอีกไม่นานนักก็จะได้สัจจะแล้ว แต่พระเจ้าติเตียนนางว่าตอนยังเป็นเด็ก พ่อแม่ของนางกำลังเตรียมเงินจะไปเสียภาษี หยางเจิ่นเจี้ยนเห็นเข้า นางก็เลือกเอาเหรียญที่กลมและดีที่สุด แค่ 2 อีแปะเท่านั้นเก็บซ่อนไว้ นี่เรียกว่าเก็บซ่อนของทางการ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีบัญชาทำโทษให้นางต้องอยู่ในโลกมนุษย์อีกหนึ่งปี พระจื่อซวีหยวนจวินกับ เหมาจวิน ซึ่งสถิตอยู่ที่ปราสาทชิงซวี มีหน้าที่ตรวจสอบกำหนดความได้เสียเรื่องราวต่างๆ ของเทพเซียนใต้หล้า เพียงรอบเดียวก็ลบเทพเซียนออกไปถึง 47 คน หลังจากลบออกไปแล้วก็ตรวจสอบใหม่มีแค่ 2 คนที่ผ่านได้และถูกเขียนชื่อบนกระดาน นี่ก็คือพวกเขายังมีใจใคร่อยากในกามแล้วมาบำเพ็ญสัจจะ อย่างนี้จึงมีความผิดแล้ว อย่าว่าแต่เก็บซ่อนเงินแค่ 2 อีแปะ ที่เป็นความผิดเล็กน้อยมาก โดยเฉพาะการบำเพ็ญของเซียนอยู่ที่ผลความดีความชั่วที่เทียบปริมาณกันแล้ว ยังถูกกล่าวโทษตำหนิติเตียนอย่างเข้มงวด นับประสาอะไรกับคนที่ทำผิดตามอำเภอใจ โดยไม่รู้จักหลีกเลี่ยง
ในสมัยราชวงศ์หมิง โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน มีวิธีแก้ไขความผิดพูดไว้ละเอียดอยู่ หากอยากมีความก้าวหน้าก็เอาเป็นตัวอย่างไปแก้ไขได้