บทที่ห้า
กรรมดีตอบสนอง
คัมภีร์ : ที่ว่าเป็นคนดี
อธิบาย : คือบุคคลที่สามารถนำเอาความดีที่กล่าวมาแต่ต้นทั้งหมดสามารถนำมาปฏิบัติได้ ก็เรียกว่าเป็นคนดี
จากนี้เป็นต้นไป...... จนถึงเป็นเทพเซียนปรารถนาได้ เป็นการพูดถึงบุญวาสนาที่ตอบสนองคนดี ซึ่งมีประสิทธิภาพมาก ต้องรู้ว่าการได้ชื่อว่าเป็นคนดีที่แท้จริงนั้น เริ่มแรกต้องสามารถแยกแยะเรื่องถูกผิดให้ชัดเจนเสียก่อน อย่าเข้าใจผิด ต้องมีทั้งปัญญาและความกล้าหาญ สุดท้ายก็ไปถึงจะดที่เป็นสภาวะ “ลืมทั้งฉันและเขา” การปฏิบัติต่อโลกด้วยความเมตตาและอภัย ความหมายก็คือ การปฏิบัติตนและปฏิบัติต่อผู้อื่น จะต้องไม่ละเมิดขืนจิตฟ้าและใจคน ถ้าทำได้ก็นับว่าเป็นกษัตริย์เหยากษัตริย์ซุน เจ้าโจวกง และท่านขงจื่อกลับฟื้นคืนชีพ ดังนั้น ที่ว่าเป็นคนดี ก็คือเอาใจฟ้าที่ชอบดีแล้วห่างไกลชั่ว โดยที่ใจคนจะทำดีได้อย่างไร โดยไม่มีความชั่วเล่า เพราะว่าผู้คนมักจะละเลยตนเองที่ฝึกฝนนิสัยไม่ดี เหมือนเป็นโรคจิตติดตัว จนทำให้สูญเสียใจฟ้าที่มีมาแต่เริ่มแรก เพราะฉะนั้น มนุษย์ควรมีความดีและวิริยะก้าวไป มีความชั่วก็ให้แก้ไขสำนึกผิด เช่นนี้แล้วสภาวะของมีความดีไม่มีชั่วก็ทำได้
นิทาน ๑ : หลี่เหวินเจิ้น ในสมัยซ่ง เมื่อภายหลังเกษียณผักผ่อนแล้วเนื่องในเทศกาลโคมไฟ (หยวนเซียว) ในพระราชจะมีโคมไฟประดับประดาอย่างสวยงาม ฮ่องเต้ซ่งไถ่จงก็ให้หามเกี้ยวมาเชิญท่าน เหวินเจิ้นกงเข้าวัง ทั้งยังจัดที่นั่งให้เขานั่งข้างๆ ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ถึงกับรินสุราและคีบอาหารให้แก่เหวินเจิ้นด้วยตนเอง ทั้งตรัสกับเหวินเจิ้นว่า “ท่านเป็นคนที่ดีจริงๆ รับตำแหน่งมหาอำมาตย์ถึง 2 ครั้ง ตลอดเวลาไม่เคยทำร้ายจิตใจใคร นี่แหละเป็นเหตุที่ข้าคิดถึงท่าน” ภายหลังที่เหวินเจิ้นกงกลับมาบ้านแล้ว เขาก็ให้โอวาทแก่บุตรชายว่า “ตลอดชีวิตพ่อ ถึงแม้ไม่เคยทำหน้าที่หรือความดีความชอบอะไรพิสดารที่โลกตกตะลึง แต่พ่อไม่เคยจะปกปิดการทำดีของผู้อื่น หรือขัดขวางการก้าวหน้าเลื่อนขั้นของใคร แม้กระทั่งในที่ผู้อื่นมองไม่เห็น (แอบ) หลอกหรือข่มเหงตนเอง การปฏิบัติต่อผู้อื่นจะค่อยระมัดระวังเอาคุณธรรมเป็นบรรทัดฐาน และฐานะตนเอง เรื่องทั้ง 4 นี้พ่อถือว่าตนเองไม่ได้ล่วงละเมิด วันนี้ฮ่องเต้ได้สรรเสริญว่า พ่อเป็นคนดีต่อหน้าของขุนนางทั้งหลาย ต้องรู้ว่าที่ว่าเป็นคนดีนั้น แม้กระทั่งท่านขงจื่อก็ยังไม่เคยพูดและยังไม่เคยเห็นเลย ! แล้วพ่อเป็นคนอะไรจึงจะกล้ารับการสรรเสริญยกย่องเป็นคนดีได้ พวกเจ้าต้องจดจำไว้ ฮ่องเต้ยกย่องพ่อเกินไป พวกเจ้าต้องขยันทำจริงใน 4 เรื่องที่พ่อพูดมาเมื่อครู่นี้ ถ้าพูดในฐานะต่อราชาก็เป็นความจงรักภักดีที่สุด ในฐานะพ่อแม่ก็เป็นความกตัญญูที่สุด เอาเรื่องนี้มาปฏิบัติบำเพ็ญและดูแลครอบครัวมาปฏิบัติต่อผู้อื่น ถ้าทำได้ก็ถือเสียว่าไม่เสียทีที่เกิดมา
การที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดี พูดง่ายๆ คือ หยุดชั่วทำดี ถ้าหากถึงสุดยอดก็จะประจักษ์แจ้งถึงอริยมรรค หรือสำเร็จเป็นเทพเป็นเซียนล้วนเป็นส่วนต่อขยายของความคิดดีนี้เอง !
นิทาน ๒ : ซูจื่ออี่ เป็นชาวเจียงซี ในสมัยหมิง เขาเป็นผู้ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นอุบาสกศิษย์ในพุทธศาสนา เขาโชคดีที่เป็นคนขยันทำงานทุกอย่างที่เป็นความดี ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ หรือส่งเสริมคนทำความดี ถึงแม้จะเป็นหน้าหนาวหิมะตก หรือหน้าร้อนแดดเผา เขาก็ไม่บอกปัดเลย ด้วยเหตุนี้ ผู้คนก็ยกย่องเขาเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่ ภายหลังซูจื่ออี่ป่วยตายแล้ว ต่อหน้ายมบาลเขารู้สึกไม่พอใจ ยมบาลจึงให้ตรวจดูบัญชีความดีความผิด พอเปิดออก ตลอดชีวิตที่เขาทำความดี ถ้าไม่ถูกบันทึกใต้คำว่า “ชื่อเสียง” กับคำ “ผลประโยชน์” ถึงตอนนี้ซูจื่ออี่จึงรู้สึกละอายและยอมจำนนเขาตายและฟื้นขึ้นมา เขาบอกเรื่องนี้แก่ผู้อื่นว่า ขอให้พวกท่านช่วยฉันบอกแก่ผู้ที่ทำดี ต้องมีความจริงใจ ทำความดีด้วยความจริงใจและต้องเอาใจของตนกวาดถูให้สะอาดหมดจด อย่าให้เหมือนฉันเป็นอันขาด หวังชื่อผลประโยชน์ไปทำความดี” หลังจากนั้นอีก 5 วัน เขาก็ตายไป เพื่อนของเขา นายถังสือ พูดว่า “ฉันเข้าใจจื่ออี่ดี เขาทำไปโดยหวังชื่อและผลประโยชน์ สำหรับผลประโยชน์แล้ว จื่ออี่จะดูแคลนเรื่องทรัพย์สำคัญต่อสัตย์ ทำไมมาตอนหลังกลายเป็นคนชอบผลประโยชน์นั้น คงเป็นตอนที่เขาขอร้องให้ชาวบ้านช่วยการกุศลความคิดเริ่มแรกดี มีปณิธานทำดี พอมีเงินทองตกอยู่ในมือ เขาเลยทำบาปเอาเงินทองไปใช้ เริ่มต้นพูดว่า “ฉันยืมไปใช้ชั่วคราวเท่านั้น” พอนานๆ ไปยืมแล้วไม่คืน นี่แหละที่ตลอดเวลาที่ซูจื่ออี่เหน็ดเหนื่อยทำความดี กลับได้มาซึ่งชื่อเสียงผลประโยชน์เป็นผลสรุปตรงนี้จะเห็นว่าในยมโลกจะเปิดโปงโทษบาปที่มนุษย์ซ่อนเร้นหักหลบไม่เห็นออกมาเหตุผลเป็นเช่นนี้ ฉันเข้าใจความหมายของจื่ออี่ดี เพราะฉะนั้นจึงช่วยอธิบายให้เขา ด้วยเหตุนี้จึงขอประกาศแจ้งให้ชาวโลกที่ทำดีกว่าการทำดีต้องไม่มุ่งหวังไปทำและทำทุกอย่าง ตามแต่บุญสัมพันธ์ เพื่อประโยชน์กับเวไนย อย่างนี้จึงเป็นความดีสูงสุด ไม่มีใจหวังตอบแทนการไปช่วยปลดทุกข์ให้เวไนย์ เตือนคนให้ทำดีมากขึ้น อันนี้เป็นความดีอันดับสอง การสั่งสมบุญกุศลลับ เพื่อตนเองตายแล้วไม่ต้องตกสู่ไตรวัฏฏะ อันนี้เป็นความดีอันดับสาม การทำความดีถ้าทำเพื่อชื่อเสียง ก็เป็นเดินทางผิด ถ้าหากมีความคิดโลภเพียงนิดเดียวเอาเงินบริจาคเข้ากระเป๋าตัวเอง วันหลังตกนรกก็เหมือนดอกธนูที่ไปเร็วมาก จะไม่กลัวหรือ” นิทานเรื่องนี้หวังให้คนที่ย่อมทำดี สามารถเข้าใจเหตุผลในเรื่องได้ คือต้องไปทำอย่างจริงใจ
คัมภีร์ : คนให้ความเคารพ ธรรมแห่งฟ้าคุ้มครอง บุญวาสนาตามมา ชั่วร้ายถอยห่าง เทพศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
อธิบาย : ตลอดชีวิตของคนดีที่ทำเรื่องดี ทุกคนพอใจ เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะเคารพนับถือเขา และเข้ากับหลักธรรมฟ้าเบื้องบน เพราะฉะนั้นเทพเจ้าบนสวรรค์ต่างๆ ก็จะปกปักรักษาคุ้มครองเขา ทำให้เขาได้มีอายุยืน ร่ำรวย สุขภาพดี เป็นบุญวาสนาตอบแทน เป็นข้าราชการก็มีความกลมเกลียวในหน้าที่และมีทรัพย์สิน บุญวาสนาตามมา เขาไม่ต้องไปแสวงหาก็มีมาเอง ผีร้ายต่างๆ ก็ถอยห่างหลบหลีกเขาหมดไม่กล้าเข้ามารุกราน เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็จะคอยคุ้มครองเขาอย่างลับๆ คอยช่วยเหลือเขาตลอดเวลา
“คนให้ความเคารพ” ความดีมีอยู่ในจิตเดิมของทุกคน เป็นจิตฟ้าคือจิตสำนึกดี จิตนี้เมื่อเคลื่อนไหวหรือมีการกระทบ ก็จะมีการตอบสนอง ถึงแม้จะเป็นคนที่โง่เขลาเบาปัญญา แต่พอได้ยินเรื่องดีๆ เข้า พวกเขาก็สรรเสริญยกย่อง ไม่ว่าเธอจะเป่นคนอำมหิตชั่วร้ายยิ่งปานไหน แต่พอเห็นคนดีเข้าก็ไม่กล้าไปรุกรานเขา ทั้งนี้เพราะจิตสำนึกดีเผยปรากฎ ก็จะบังเกิดแรงระงับไม่มุ่งร้ายเอง ทำไมจึงพูดว่าทุกคนให้ความเคารพคนดี ทั้งนี้เพราะคุณธรรมของเขามีจุดที่ควรเคารพอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครไม่เคารพคนดี
นิทาน ๑ : ท่านซือหม่ากวง เดินทางจากลั่วหยางไปยังเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ประชาชนบนถนนเห็นเข้าก็ยกมือขึ้ นบนหน้าผากแล้วทำความเคารพ แสดงความนับถือ ซือหม่ากวงไปถึงไหนประชาชนก็ตามไปถึงที่นั่น ยิ่งตามก็ยิ่งมากขึ้น ในที่สุดประชาชนก็กั้นให้ซือหม่ากวงลงจากรถแล้วพูดกับเขาว่า “ท่านผู้ใหญ่ซือหม่ากวงขอรับ ! ขอท่านอย่ากลับมาที่ลั่วหยาง ให้อยู่เสียที่เมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือฮ่องเต้ปกครองบ้านเมือง พวกเราประชาชนก็จะอยู่เย็นเป็นสุข !”
สมัยที่ท่านหลิวต้ากัง รับราชการอยู่ที่ราชสำนัก ประชาชนต่าง่สรรเสริญว่าเขาเป็นผู้จงรักภักดี !
ท่านฟู้เหวินตง ขี่บนหลังลาไปถึงสะพานเทียนสิน ชาวเมืองได้ยินต่างพากันวิ่งไปดูเขา ทำให้เมืองทั้งเมืองโล่งไม่มีคน !
ตอนที่คุณเจียคังเจี๋ย ออกไปท่องเที่ยวข้างนอก คนที่มีการศึกษากับประชาชนเห็นเขาเข้า ไม่มีใครสักคนที่ไม่รีบเร่งวิ่งมาแสดงความยินดีต้อนรับเขา ขณะที่เร่งรีบบางคนถึงกับใส่รองเท้ากลับข้างก็มี !
พวกเขาดีใจและชื่นชมคนดีถึงขนาดนั้น แล้วความรู้สึกของฟ้าเล่า ก็น่าจะรู้ ถ้าหากไม่ใช่คนดีที่แท้จริง ก็จะมีจุดที่ทำให้คนเคารพนับถือ ทำไมจึงสามารถทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งขนาดนั่น ดังตัวอย่างที่ยกมาหลายคน ตอนที่คนเหล่านี้มีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ใช่เป็นมหาอำมาตย์ก็เป็นอาจารย์คน ภายหลังตายแล้ว ก็จะกลายเป็นเทพเจ้าแน่นอน
“ธรรมแห่งฟ้าคุ้มครอง” ธรรมแห่งฟ้าไม่ลำเอียง ไม่มีเห็นแก่ตัว แต่ก็จะมีความรู้สึกตอบรับกับคนดีเป็นประจำ คือติดต่อถึงกัน โดยเฉพาะคนดีก็ไม่ต้องพูดอะไร ฟ้าเบื้องบนก็ตอบสนองได้อย่างอัศจรรย์ เทพเจ้าก็ไม่ต้องให้คนดีต้องกวักเทพเจ้า ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ก็ได้รับความคุ้มครองจากเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ตนเองต้องขยันทำงานสุดความสามารถ ตั้งใจไม่ขาดตอน มีความมั่นคงถึงที่สุดในที่สุดก็จะซาบซึ้งถึงฟ้าเบื้องบน ในคัมภีร์ฉุดช่วยทุกข์ว่า “หนึ่งใจดุจนี้ ฟังชะตาฟ้า” จะเห็นว่าคนดีที่ทำดี เขาจะไม่มีใจแม้แต่ น้อยที่ขอเอา ! ท่านจูจื่อ สมัยซ่ง พูดว่า “ฟ้าดินไม่มุ่งหวังแม้แต่น้อยเพียงบ่มเล้ยง่สรรพสิ่งเพื่อฟ้าที่ทำที่มุ่ง ล้วนเข้ากันกับใจฟ้า แล้วเบื้องบนจะไม่คุ้มครองได้อย่างไรหรือ
นิทาน ๑ : หลิวอันซื่อ ในสมัยซ่ง ถวายหนังสือถึงฮ่องเต้ รายงานถึงความถูกความผิดของขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนัก และพูดถึงจางตุ้นว่าเป็นอันธพาล ขอให้ฮ่องเต้อย่าใช้คนผู้นี้ ประเทศชาติจะได้ไม่เสียหาย ประชาชนจะได้ไม่ถูกทำร้าย ต่อมาฮ่องเต้ไม่ฟังข้อเสนอของหลิวอันซื่อ ยังให้จางตุ้นเป็นมหาอำมาตย์ หลิวอันซื่อก็ถูกลดขั้นและถูกสั่งย้ายไปในที่ไกลๆ ต้องข้ามน้ำข้ามเขาเป็นพันๆ ลี้ สั่งย้ายอยู่ตลอดเวลา ทุกคนต่างพูดกันว่า “หลิวอันซื่ออายุมากแล้ว ยังถูกจางตุ้นแก้แค้นสั่งย้ายไกลเช่นนี้ คงตายแน่ไม่ต้องสงสัย” แต่หลิวอันซื่อก็ไม่สะทกสะท้านยังคงสบายดีแม้อายุจะ 80 ปีแล้ว กลับไม่เจ็บป่วยเลยสักวัน ขณะที่หลิวอันซื่อถูกสั่งย้าย มีคนหนึ่งเอาใจจางตุ้น รับอาสาไปฆ่าทิ้งหลิวอันซื่อ เมื่อเขามาถึงที่อยู่ของหลิวอันซื่อ ขณะเตรียมตัวจะลงมือ ทันใดนั้น เขาเหมือนถูกของแข็งตีเอากระอักเลือดจนตาย !
นิทาน ๒ : ถังจื่อเหลียน นำโลงศพบิดาจากเสฉวน ล่องเรือกลับบ้านเดิมที่จี๋ซุ่ง เมืองเจียงซี ตอนนั้นเป็นหน้าฤดูน้ำหลาก น้ำในแม่น้ำเหยาถังไหลเชี่ยวกรากมาก ประจวบกับฝนก็ตกลงมามาก คนเรือยิ่งหวาดกลัว จื่อเหลียนก็เสียใจมาก กลัวว่าศพพ่อจะไปไม่ถึงบ้านจึงแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วร้องไห้ พอร้องไห้เท่านั้น น้ำในแม่น้ำก็ลดลงทันทีถึง 20 ฟุต รอจนกว่าเรือของเขาจะผ่านพ้นไปก่อน น้ำในแม่น้ำก็เอ่อล้นขึ้นมาใหม่ และไหลเชี่ยวกรากเหมือนเดิม นี่แหละความกตัญญูเป็นคุณธรรมที่สำคัญ เพราะฉะนั้น เทพฟ้าจึงได้คุ้มครองคนที่กตัญญูเช่นนี้
“บุญวาสนาตามมา” ผู้ปราชญ์อริยะและวีรบุรุษ ความประพฤติของพวกเขาไม่ว่าวาจาก็ดี การกระทำก็ดี อารมณ์ของความละมุนละมัยในใจของเขาซาบซึ้งถึงเบื้องบน พวกเขาก็จะได้รับความมงคล และบุญวาสนาตามมา
นิทาน ๑ : ขุนพลกั๊วจื่ออี่ ในสมัยถัง ผู้ออกศึกตีเมืองฉางอันและลั่วหยาง สองเมืองคืนมา มีความดีความชอบยิ่งใหญ่มากกว่าขุนนางทั้งหลาย เพราะกายเขาปกป้องประชาชนให้พ้นจากอันตรายมีความสงบนานถึง 30 ปี ฮ่องเต้จึงสถาปนาเขาเป็นเจ้าเฟินหยางอ๋อง เขามีบุญวาสนาและอายุยืนยาว ถึงขีดสูงสุดโดยเฉพาะลูกหลาน ก็มีความเจริญจนเป็นที่เกรงขาม นับว่ามีน้อยมากตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คือหาผู้ใดเปรียบเทียบได้ยาก
การที่กั๊วจื่ออี่มีบุญวาสนามากมายขนาดนี้ เพราะเขาสร้างคุณให้กับประเทศชาติมากมาย ยิ่งเขาเห็นผู้มีคุณธรรม ถึงสภาวะที่น่าเลื่อมใส จึงสามารถมีบุญวาสนาตอบสนองมากมาย มิใช่เป็นโชคลาภจะทำได้เท่านี้
นิทาน ๒ : ที่หงหยาง เมืองอันฮุย ในสมัยหมิง มีคนหนึ่งชื่อเจิ้นเจียว คืนหนึ่งเขาก็ฝันว่าตนเองได้ขึ้นไปบนสวรรค์ เห็นเทพเจ้าได้เตรียมตำแหน่งให้เขาไว้แล้ว เทพพูดกับเขาว่า “ที่จริงชะตาชีวิตของเจ้าเป็นคนยากจน แต่เพราะเจ้าทำความดีถึงสุดกำลัง เพราะฉะนั้นข้าจึงมีคำสั่งให้เทพบุญกับเทพวาสนา 2 เทพติดตามเจ้าวันข้างหน้าเจ้าจะนั่งในที่เตรียมไว้นี้ได้” เจิ้นเจียวจึงบรรลุรู้จิตที่ดีของเขายิ่งมั่นคง เป็นที่เลื่องลือมากขึ้น ในที่ที่เขาไป ทรัพย์สินก็ตามเขาไปถึงที่นั่น ไม่ว่าเขาถึงที่ไหน บุญวาสนาก้ตามไปถึง ลูกหลานเขามีมากและก็ร่ำรวย เสวยบุญวาสนามาก ในที่สุดเขาก็บำเพ็ญเพียรหลังมรณกรรมเขาได้มรรคผลเป็นจิ้งอัยอริยเจ้า
ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายคนที่เดียวที่มีอายุสั้นก็มี บางคนอาจเกิดสงสัยว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ทำไมอายุสั้น เช่นหยวนหยุน มีอายุสั้นและเสียชีวิตในตรอก ผู้ศักดิ์สิทธิ์อี้ฉี ก็อดตายในภูเขาโซ่วหยาง หยวนไท้ก็ยากจน ฮวนพั้นก็ถูกตัดหัว พระเยซูก็ถูกตอกกางเขนตาย เป็นต้นแต่ต้องรู้ว่าการบ่มเลี้ยงคุณธรรม ของพวกเขาล้วนถึงระดับสูงมากแต่ดวงชะตาเขาขาดบุญวาสนา แต่คุณธรรมของเขาเทียบอาทิตย์จันทร์เ ลยทีเดียว พวกที่มีบุญวาสนาไม่อาจจะเปรียบได้นะ นี่คือมหาบุรุษที่สำเร็จการุณย์ ชูความสัตย์ซื่อ เพราะฉะนั้นต้องเข้าหลักเหตุผลอันนี้ด้วย
“ชั่วร้ายถอยห่าง” ในที่ตรงร้ายอยู่ไม่ได้ เหมือนเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ความมืดก็หายไป ท่านหลี่จี๋ผู่กล่าวว่า “เทพเจ้าพอใจคนตรงคนเราถ้าดำรงความตรงซื่อได้ ก็จะได้รับการคุ้มครองจากเทพเจ้าพวกมารพวกผีไม่สามารถเอาชนะที่มีคุณธรรมได้ แต่ถ้าคุณธรรมของเขาเสื่อมลง พวกมารผีก็ดีใจเข้าหา” อันนี้เป็นหลักเหตุผลธรรมดา
นิทาน : ในสมัยหมิงมีคนหนึ่งชื่อ อิ่งชิง เป็นนักศึกษา เขาเข้าไปสอบที่อำเภอตุ้นฮว่า เขาต้องไปขอยืมพักที่ครอบครัวหนึ่ง ลูกสาวของเจ้าของบ้านจะถูกผีเข้า คืนที่อิ่งชิงพักอยู่ พูดแล้วก็น่าแปลก คืนน้นผีก็ไม่มาเข้าร่างลูกสาว ภายหลังที่อิ่งชิงจากไป ผีตนนั้นก็เข้ามา เด็กสาวจึงหถามผีตนนั้นว่า “เมื่อคืนเจ้าทำไมไม่มา” ผีตอบว่า
ข้าหลบหลีกอิ่งชิงซิ่วไฉ เพราะฉะนั้นจึงไม่มา” เด็กสาวจึงบอกเรื่องนี้กับบิดาเธอ บิดาจึงรีบไปหาอิ่งชิง อิ่งชิงก็เขียนหนังสือ 4 ตัวว่า “อิ่งชิงอยู่นี่” เรียกให้บิดาเด็กสาวนำไปปิดที่หน้าประตู จากนั้นมาผีก็ไม่เข้าร่างเด็กสาวอีกเลย อิ่งชิงเป็นคนตรงและภักดี ถึงปัจจุบันคนก็ชื่นชมอยู่
ควรรู้เอาไว้ว่า ปราณที่อยู่ระหว่างฟ้าดินเป็นปราณตรง ปราณของคนถ้าหากไม่ขี่ขลาดไม่ปอดแล้ว ก็จะรินไหลได้ตรง ผีมารเห็นเข้าก็จะถอยหลบ เพราะฉะนั้น วีรบุรุษจึงมีวิชาบ่มปราณ การบ่มปราณอยู่ที่การรักษาใจ ถ้าเป็นผู้ใสสะอาด มีความตั้งใจสงบนิ่ง เพราะฉะนั้นเหล่าผีมารก็ไม่กล้าปรากฎร่าง ถ้าหากใจคนมืดมัว (มีเรื่องชั่วๆอยู่) ไม่ต้องถามว่าผีจะเข้าหรือไม่เข้า เพราะใจของตนเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผีแล้ว ถ้าเหมือนนายอิ่งชิง ผีมารเห็นเขาเข้าก็ต้องถูกปราณตรงของเขาสยบเอา เทพกับคนมีหลักเหตุผลเดียวกัน เป็นคนดีที่น่านับถือ เทพเจ้าก็เพิ่มความคุ้มครอง ถ้ามีคุณธรรมมาก ทั้งผีและเทพต่างก็ชื่นชมเขาแน่!
นิทาน : ในสมัยหมิง เมืองอี่เติ้ง มีคนแก่แซ่จิน เขาเปิดร้านรับจำนำของ สมัยเริ่มต้นของฮ่องเต้เจียจิ่ง มีการปล้นจี้เต็มไปหมดคนที่มีเงินถูกจี้ปล้นทุกบ้าน นอกจากบ้านจินที่ไม่ถูกปล้น ทางการรู้สึกสงสัยว่าบ้านนี้สมรู้ร่วมคิดกับพวกโจรหรือเปล่า ต่อมาพวกโจรถูกทางการจับได้ ทางการจึงสอบสวนพวกโจรว่า “ทำไมบ้านจินจึงไม่ถูกพวกเธอเข้าปล้น” โจรตอบว่า “พวกเราเข้าปล้นบ้านจินหลายครั้งแล้วก็ถูกเทพทหารไล่ออกมา” ทางการไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้ จึงเรียกคนละแวกนั่นมาสอบถาม พวกเขาล้วนพูดว่า “ร้านจินไม่ถูกปล้น เพราะบ้านจินสั่งสมบุญกุศล โรงรับจำนำแต่ละแห่ง เวลารับจำนำก็ให้ราคาต่ำๆ เวลาไปไถ่ถอนก้ต้องเสียเงินมากๆ ซื้อกลับ มีแต่ร้านจินเท่านั้นรับเข้าหรือขายออกราคายุติธรรม เวลารับเข้าก็ให้ราคาสูง กำหนดเวลาก็นาน ถ้าเป็นคนแก่ยากจนมาจำนำก็ยังไม่คิดดอกเบี้ย ถึงหน้าหนาวก็ไม่คิดดอกเบี้ยของเสื้อกันหนาว พอถึงหน้าร้อนก็ไม่คิดดอกเบี้ยของเสื้อใส่หน้าร้อน บ้านจินทำแบบนี้มาทุกปี เบื้องบนจึงคุ้มครองคนดี จึง่สั่งให้เทพทหารมาปกป้องคุ้มครองบ้านจิน นี่คือเหตุผลไม่เห็นต้องสงสัยเลย” นายอำเภอฟังแล้วก็ชมว่าบ้านจินทำความดี ทั้งยังรายงานถึงราชสำนัก ราชสำนักมีหนังสือมาชมเชยประกาศบ้านจินเป็นบ้านที่ทำความดี
คุณอู่เถี่ยเจียงกล่าวว่า “ตอนแรกพูดถึงภัยพิบัติก็ว่าคนทำชั่วตอนพูดถึงบุญวาสนา ก็ว่าคนให้ความเคารพ เพราะว่าเทพดาวอุบาทว์จะส่งภัยเคราะห์ลงมา และเทพทหารจะปกป้องคุ้มภัย เหล่านี้เป็นเรื่องจริง ในระยะเวลาหนึ่งคนก็ยังไม่รู้เห็นกัน แต่คนดีคนก็เคารพและรังเกียจคนชั่ว ก็พอจะยืนยันได้ว่าเป็นลางบอกเหตุได้ ผู้มีใจเรียนธรรม ควรต้องสำรวจตนเองเสมอๆ ถ้าคนที่เคารพเรายิ่งมายิ่งมาก ก็จะรู้ว่าเทพเจ้าได้คุ้มครองเรามากน้อยระดับไหน ถ้ามีแต่คนไม่ชอบเรายิ่งวันยิ่งมาก ก็จะได้รู้ว่าดาวอุบาทว์บนศีรษะเรากำลังมองเราด้วยความโกรธ นี่คือหลักธรรมที่ว่า ใจคนก็คือใจฟ้า ไม่ต้องไปตามถามพวกเรา ถึงสิ่งที่มองไม่เห็นและฟังไม่ได้ยินหรอกนะ !
คัมภีร์ : งานที่ทำก็สำเร็จ เป็นเทพเซียนปรารถนา
อธิบาย : ทำให้การงานธุรกิจที่คนดีทำประสบความสำเร็จแน่นอนและอยุ่ได้ยั่งยืน ทั้งยังปรารถนาจะสำเร็จเป็นเทพเจ้า หรือเป็นเซียนก็ได้ มีชื่อจารึกอยู่บนสวรรค์
การงานทุกอย่างในโลกไม่มีหรอกที่ทำไม่สำเร็จ และคนที่ไปทำสำเร็จได้ก็ต้องเป็นคนที่มีความจริงใจทำดี เช่นนี้ทั้งคนและงานก็จะเข้ากับใจฟ้าได้ จะมีหรือที่ใจฟ้าจะขัดขวางปณิธานคน จะมีก็แต่คอยช่วยเหลือคนดีอย่างเงียบๆ ก็จะไม่มีงานดีที่ทำไม่สำเร็จหรือทำไม่ราบรื่น
ท่านไท่ซั่งเหล่าจวิน เป็นบรรพจารย์องค์แรกของศาสนาเต๋าเพราะฉะนั้นจึงบรรยายหลักธรรมของเซียนโดยเฉพาะ ท่านเมิ่งจื่อกล่าวว่า “มนุษย์ล้วนเป็นเช่นกษัตริย์เหยาซุ่นได้” พระสังฆปริณายกองค์ที่หกแห่งเซ็น พุทธศาสนามหายาน ท่านฮุยเหนิง (เหว่ยหล่าง) กล่าวว่า “แต่ใช้ใจนี้ ตรงสุดสำเร็จพุทธ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามศาสนาที่พูดถึงราวกับว่าออกมาจากรอยล้อเดียวกัน อยากเป็นเทพเซียนก็ปรารถนาเอาได้ จะสำเร็จเป็นพุทธก็ได้ แม้แต่จะเป็นกษัตริย์เหยาซุ่นยังเป็นได้ นับประสาอะไรกับชื่อเสียงร่ำรวยอายุยืนชายหญิงก็เป็นได้ แล้วจะมีอะไรอีกที่จะเป็นไม่ได้ เพียงแต่มาดูที่คนแสวงหา มีความจริงใจไปทำหรือไม่เท่านั้น
พุทธองค์สอนพระสาวกว่า “พวกเธอภิกขุ ควรจะขยันมุ่งวิริยะก็จะไม่มีเรื่องอะไรยาก ! สมมุติว่าสายน้ำเล็กๆ ไหลไม่หยุด ผ่านเวลาอันยาวนานก็จะสามารถผ่านหินที่แข็งได้ หากใจของผู้ปฏิบัติขี้เกียจหยุดนิ่งบ่อยๆ เหมือนการปั่นไม้เอาไฟยังไม่ทันปั่นจนไม้ร้อนก็หยุดไปพัก คิดอยากได้ไฟใช้คงเป็นไปไม่ได้ !”
ในสมัยหมิง ท่านธรรมาจารย์เหลียนฉือ กล่าวว่า “วิทยาการแต่ละแขนงบนโลกนี้ ตอนเริ่มต้นเรียน แรกดูเหมือนยากมาก เหมือนกับว่าไม่สามารถเรียนสำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้จึงหยุดเสียกลางคัน ถ้าเช่นนั้นก็จะไม่มีวันเรียนได้สำเร็จ เพราะฉะนั้นตอนเริ่มต้นที่สำคัญต้องมีใจแน่วแน่ไม่สงสัย ถึงแม้จะตัดสินใจไม่เคลือบแคลงใจ แต่ถ้าอืดอาดอุ้ยอ้าย ไม่จริงใจเรียนก็เรียนไม่สำเร็จเหมือนกัน ขั้นต่อไปต้อบมีความวิริยะอุตส่าห์ ถึงแม้จะมีวิริยะแต่พอมีความสำเร็จเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็รู้สึกพออิ่มแล้ว หรือเป็นเพราเวลาเนิ่นนานเกินไปจนเหนื่อยอ่อน หรือพบกับความราบรื่นเลยหลงฟั่นเฟือน หรือพบกับอุปสรรคจนร่วงหล่น อย่างนี้ก็เรียนไม่สำเร็จ ขั้นต่อไป ที่สำคัญต้องมีความบริสุทธิ์แรงกล้าไม่ถดถอย อย่างนี้จึงเรียกว่าใจของวีรบุรุษที่แท้จริง คนต้องมีใจแบบนี้จะมีเรื่องอะไรที่ทำไม่สำเร็จ พวกเราต้องพากเพียรด้วยตนเองนะ !
นิทาน ๑ : หลี่ตวนหยวน ในสมัยซ่ง เป็นระดับหัวหน้าตำรวจได้ถามท่านธรรมาจารย์เซ็นต๋ากวนว่า “บรรดาพุทธเจ้าท่ามกลางความไม่มีพูดว่ามี ก็เหมือนคนเป็นโรคตาที่เห็นดอกไม้กลางอากาศตวนหยวนเอ๋ยในความมีแสวงหาความไม่มี ก็เหมือนเอามือไปคลำหาดวงจันทร์ในน้ำ นี่ก็เหมือนเห็นคุกตะรางอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่รู้จักหลบหลีก พอข้างนอกได้ยินสวรรค์ก็มีสภาวะคิดจะมีชีวิตที่นั่นน่าหัวเราะ แต่กลับไม่รู้ว่าดีใจหรือหวาดกลัว ทั้งหมดล้วนอยู่ที่ใจของเราเอง สวรรค์กับนรกก็เป็นสภาวะของใจทีดีชั่ว ท่านตวนหยวน ! ขอเพียงให้ท่านสามารถเข้าใจตนเอง ก็จะไม่หลงและกังวลเลย”
นิทาน ๒ : ตามหลักฐานในคัมภีร์ของชาวเต๋า ที่บันทึกเรื่องเซียนก็มีจำนวนมากตั้ง ๙๙,๙๙0 หมื่น และก็ได้สั่งสมบุญกุศลในขณะที่อยู่ในโลก อาทิเช่น ท่านเหอฮีจื่อ เพราะท่านได้เขียนบทอธิบายพระสูตรวัชรปรัชญาปรมิตาสูตร ช่วยให้จิตใจชาวโลกใสสะอาดขึ้น ภายหลังมรณภาพแล้ว ก็ได้เป็นเทพที่ตรวจสอบความดีที่คุกแดนตะวันตก ถึงแม้จะเป็นในคุกตะราง แต่ก็เป็นการรับฉุดช่วยคนนะ นี่ก็คือหลักะรรมที่ทำดีก็ปรารถนาเป็นเทพเซียนได้ ตั้งแต่โบราณมาถึงปัจจุบันที่สำเร็จเป็นก็มีนับกว่าแสนคนแล้ว เพราะฉะนั้นจึงว่า “อย่าว่าเทพเซียนไม่มีที่เรียน โบราณมาเทพเซียนสำเร็จมากเท่าไร” ปัจจุบันผู้คนบำเพ็ญเพียรขยาดความจริงใจ ตนเองบำเพ็ญไม่สำเร็จก็จะพูดว่า “โลกนี้ไม่มีเทพเซียน” นี่ก็เหมือนการเรียนอย่างท่านขงจื่อเมิ่งจื่อ ไม่มีความสามารถปฏิบัติได้ตามคำพูดของท่านขงจื่อเมิ่งจื่อก็จะพูดว่าในโลกนี้ไม่มีปราชญ์อริยะ เป็นสภาพเหมือนกัน อย่างนี้ไม่ถูกต้องนะ !
คัมภีร์ : อยากเป็นเทพเซียนฟ้า ต้องทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล อยากเป็นเทพเซียนดินต้องทำความดีสามร้อยกุศล
อธิบาย : คิดอยากจะเป็นเทพเซียนบนฟ้า ก็ควรทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล ทำความดีวันละหนึ่งกุศล ก็ใช้เวลาสักสี่ปีก็สามารถสำเร็จได้ หากคิดจะเป็นเพียงแค่เซียนดิน ก็ให้ทำความดีสามร้อยกุศล วันหนึ่งทำหนึ่งกุศล เพียงหนึ่งปีก็สำเร็จแล้ว
คัมภีร์ตอนนี้เป็นบทสรุปจากเริ่มต้นมา พูดถึงวิธีการทำความดีเป็นรากฐานของการสำเร็จเป็นเทพเซียน ตรงพูดถึงจำนวนหนึ่งพันบ้างสามร้อยบ้าง เป็นการกำหนดปริมาณการทำความดี เพียงต้องจริงใจไปทำดีก็กำหนดแน่ว่าสำเร็จ และก็ไม่คิดท้อถอย ความแตกต่างระหว่างเทพเซียนฟ้ากับดิน ก็อยู่ที่คนทำดีมากน้อย ในศุรางคมสูนรว่า “เซียนมี 10 ชนิด ชนิดที่หนึ่ง เซียนเดินดิน ชนิดที่ 2 เซียนเดินเหิน ชนิดที่ 3 เซียนท่องเที่ยว ชนิดที่ 4 เซียนเหินอากาศ ชนิดที่ 5 เซียนเหินฟ้า ชนิดที่ 6 เซียนเหินทะลุ ชนิดที่ 7 เซียนเหินธรรม ชนิดที่ 8 เซียนเหินส่อง ชนิดที่ 9 เซียนเหินชำนาญ ชนิดที่ 10 เซียนเหินเยี่ยม อายุขัยแม้จะยืนยาวได้ถึงร้อยล้านปีก็ตาม ก็ยังอยู่ในหกทางไป เพราะฉะนั้นภายหลังสำเร็จเทพเซียนแล้ว ก็ยังต้องให้วิริยะขึ่นอีกก้าวหนึ่ง จึงจะไม่ร่วงหล่น คืนให้เลื่อนพ้นสมมภพหกทางไป สิ้นสุดวัฎฎะ ก็จะเป็นอย่างเช่นวิสุทธิเทพ อย่างเซียนหลี่ตงปิง ในวัชรปรัชญาปรามิตตาสูตรว่า “ควรไม่มีที่ยึดอยู่แล้วบังเกิดใจนั้น” ซึ่งก็เป็นการตรัสรู้ ต่อมาก็ได้พบกับธรรมาจารย์เซ็นหวงหลง มายืนยันเขา อริยเจ้าซุนซือเหมาก็มักจะถามพุทธธรรมกับอาจารย์เต้าซวนหลี่ ในสมัยถังเป็นประจำต่อมาก็ไปที่เสฉวน ได้ฟังธรรมพระสูตรบทอนันต์รัตนเจดีย์จากภิกษุอู๋หมิง จึงได้รับการยืนยันสำเร็จเป็นอริยเจ้า ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นการก้าวขึ้นอีกก้าวหนึ่ง เป็นวิสุทธิเทพพ้นสามภพ
นิทาน : ในสมัยฮั่น ท่านเซียนเจ็งหลีได้ถ่ายทอดวิชาฝึกโอสถ (ตัน) แก่วิสุทธิเทพหลี่ตงปิง เอาตันจุดบนเหล็กกลายเป็นทองคำ สามารถนำมาฉุดช่วยคนจน หลี่ตงปิงถามเจ็งหลี้ว่า “กลายเป็นทอง ที่สุดจะกลายกลับมาเป็นเหล็กไหม” เจ็งหลี้พูดว่า “500 ปี ให้หลังก็จะกลับเป็นเหล็กดังเดิม” หลี่ตงปิงพูดว่า “เป็นแบบนี้ก็จะทำร้ายคนใน 500 ปีหลัง ฉันไม่ยอมทำเรื่องอย่างนี้” การที่ท่านเจ็งหลี้สอนหลี่ตงปิงเสเหล็กเป็นทอง ก็เพียงต้องการทดสอบใจของเขาเท่านั้น เมื่อรู้ว่าหลี่ตงปิงมีใจที่ดีงาม จึงพูดกับเขาว่า “บำเพ็ญเป็นเซียนต้องสั่งสมบุญกุศล 3 พันกุศล เมื่อฟังวาจาของเจ้าแล้ว บุญกุศล 3 พันได้ทำครบสมบูรณ์แล้วนี่”
เชิญติดตามต่อในคัมภีร์กรรม เล่ม 2