หมวด: ธรรมะทั่วไป
จำนวนผู้อ่าน: 6773

  buddha

พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ว่าด้วยเหตุปัจจัยก่อเกิดและหมุนเวียนกันไป และเป็นศาสนาที่เรียกว่า กรรมวาที คืออธิบายเรื่องกรรมวิบากที่ถูกต้องชัดเจนที่สุดก็ว่าได้ เพราะมาจากพระปัญญาคุณแห่งองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

 "กรรม"ในพุทธศาสนานั้น ต่างจากความเชื่อเรื่องกรรมของศาสนาพราหมณ์ ศาสนาเชน หรือลัทธิอื่นๆ อย่างชัดแจ้ง เพราะศาสนาพุทธไม่ได้ให้เชื่อเรื่องกรรมเก่าแต่เพียงอย่างเดียว บางคนเชื่อว่าเหตุทั้งหมดที่เกิดในชาตินี้มาจากกรรมเก่า ที่เคยสร้างไว้อย่างเดียว และกรรมเก่านั้นก็บันดาลครอบคลุมชีวิตไปทุกๆอิริยาบท ให้เป็นไปทางดีหรือชั่ว ตามที่อำนาจกรรมเก่าที่ดลบันดาลให้เป็นไป

"กรรม"ในศาสนาพุทธนั้นอธิบายถึงเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างลงตัว จนทำให้เกิดภพเกิดชาติ เกิดชรา มรณะ เกิดสุข เกิดทุกข์ ฯลฯ

ในเมื่อกรรมคือเหตุปัจจัยที่ประชุมกันขึ้นมา เราก็สามารถเปลี่ยนเหตุปัจจัยแห่งกรรมนั้นได้ด้วยตัวของเราเองในชาตินี้ ให้ดีขึ้นหรือเลวลง ได้ตลอดเวลา

"พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า หากอำนาจกรรมเก่าดลบันดาลไปเสียทุกสิ่งแล้ว ความเพียรในปัจจุบันก็ย่อมไร้ผล การประพฤติพรหมจรรย์(เพื่อชีวิตอันประเสริฐ)ก็มีไม่ได้ การบรรลุมรรคผลก็ย่อมไม่มี"

พระพุทธองค์ทรงสอนให้สร้างกรรมใหม่ ด้วยความวิริยะ ความเพียร ความศรัทธา ในการสร้างสมกรรมดี ไม่ใช่เพื่อให้หนีกรรม หรือไปละลายกรรมชั่ว แต่เป็นการขัดเกลาจิตใจของตนเองไม่ให้ตกไปสู่ทางที่ชั่ว ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้นไป จนก่อให้เกิดอุปนิสัยติดไปยังภพหน้า เพื่อจะได้ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้นไป ทุกภพทุกชาติ จนสามารถลดละอนุสัยกิเลสจนข้ามฝั่งไปนิพพานได้

การสอนให้ทำบุญแก้กรรม หรือหนีกรรมชั่วที่ติดตามมา หรือทำบุญเพื่อหวังไปสวรรค์นั้น ไม่ใช่ทางของพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนให้ชำระขัดเกลาจิตใจตัวเองให้บริสุทธิ์เพื่อสร้างเหตุปัจจัยใหม่หรือกรรมใหม่ จุดประสงค์เดียวก็คือ เพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อการสลัดซึ่งกองทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น

การทำบุญหนีกรรมชั่วในชาติก่อน ก็คงทำไม่ทันในชาตินี้ เพราะถ้าเหตุปัจจัยแห่งกรรมชั่วมีพร้อมในชาตินี้แล้ว กรรมชั่วในชาติก่อนก็เข้ามาประชุมกันเพื่อให้ผลในทันที เช่น ชาติก่อนเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้มาก และในชาตินี้ตนเองก็ประพฤติอย่างนี้อีก อย่างนี้เรียกว่าเป็นการสร้างเหตุปัจจัยเร่งให้กรรมเก่ามาประชุมกันร่วมกับกรรมใหม่ ผลกรรมก็ย่อมปรากฏให้อายุสั้น ถูกคนทำร้าย หรือถูกฆ่าตายในชาตินี้

ทางแก้ตามวิถีพุทธก็คือไม่สร้างเหตุปัจจัยที่เป็นปาณาติบาตให้เกิดขึ้นในชาตินี้ หรือไม่ก็ต้องทำบุญประเภทอภัยทานไว้ให้มากๆ เมื่อไม่มีเหตุปัจจัยให้กรรมเก่าที่เคยฆ่าสัตว์มาประชุมกันได้ กรรมเก่านั้นก็ยังไม่สนองผลในชาตินี้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความหนักเบาของกรรมชั่วเก่ากับกรรมดีใหม่ ว่าสมดุลย์กันหรือข่มกันได้หรือไม่

การทำบุญแค่หวังไปเกิดในสวรรค์ เมื่อขึ้นไปเกิดได้ก็ลงมาได้เช่นกัน เทวดาหลายองค์เมื่อเสวยบุญจนหมดก็ต้องตกลงไปเกิดในนรก เวียนวนกันไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ดังนั้นการทำบุญก็ต้องตั้งมนสิการให้ดี

อีกทั้งบุญก็มีหลายประเภท แต่การทำบุญในพุทธศาสนาก็เพียงเพื่อสร้างบุญประเภทที่เรียกว่า "วิวัฏฏคามินีกุศล" คือกุศลที่มีเหตุปัจจัยให้พ้นจากภัยวัฏฏะสงสารเท่านั้น

ซึ่งกุศลชนิดนี้เป็นกุศลที่เกิดขึ้นเฉพาะกาลสมัยที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งได้แก่ สติปัฏฐานกุศล , วิปัสสนากุศล และ โลกุตรกุศล กุศลเหล่านี้เป็นกุศลที่จะมีได้ในพุทธศาสนา เท่านั้น

บุญกุศลนอกนั้น ทำไปก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป ฉะนั้นการทำบุญด้วย โลกียกุศลจิตนั้น จึงนับว่าเป็นกุศลนอกพุทธศาสนา เรียกว่าเป็น "วัฏฏคามินีกุศล" เพราะเป็นเหตุปัจจัยให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แต่วัฏฏคามินีกุศลบางอย่าง อาจจะเป็นปัจจัยอุปการะให้ทำกุศล ชนิด วิวัฏฏคามินีกุศล ต่อไปอีกก็ได้ ถ้าวัฏฏคามินีกุศลนั้น ปรารถนาการลดละกิเลสของตน หรือ ปรารภความพ้นทุกข์

ฉะนั้น วัฏฏคามินีกุศล จึงอาจจำแนกได้เป็น ๒ ชนิด คือ วัฏฏคามินีกุศล ที่ไม่เป็นกุศลบารมี(เพื่อพ้นทุกข์) และ วัฏฏคามินีกุศล ที่เป็นกุศลบารมี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตนาที่กระทำว่ากระทำบุญนี้ไปเพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์หรือไม่ ปรารถพระนิพพานเป็นเหตุหรือไม่

คนเราเมื่อเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ดังนั้นเราก็ไม่รู้ว่าได้เคยสร้างกรรมดีกรรมชั่วอะไรมา และวิบากกรรมทั้งดีและชั่วก็ไม่รู้ว่ากรรมในภพชาติไหนในอดีตได้มาส่งผลให้ ดังนั้นจงอย่าประมาทในเรื่องกรรม

แม้คนเราเมื่อพบเจอกันได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชาตินี้ ก็ไม่ใช่เรื่องกรรมเก่าแบบบุพสันนิวาสแต่เพียงอย่างเดียว แม้หากเราได้เพียรสร้างกุศลเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น ก็คือการได้ทำกรรมใหม่หรือสร้างจุดเริ่มต้นของเหตุปัจจัยใหม่ให้เกิดขึ้นในชาตินี้ ซึ่งก็จะสามารถส่งผลไปยังภพชาติต่อไปได้อีก นี่แหละคือกรรมที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องอาศัยแต่กรรมเก่าแต่เพียงอย่างเดียว

และหากเราสร้างกรรมดีในชาตินี้เป็นเหตุให้สามารถเชื่อมโยงไปสัมพันธ์กับกรรมดีของเราในอดีตชาติิได้ ผลกรรมดีเหล่านั้นก็มาสนองผลได้ในชาตินี้ เพราะเหตุปัจจัยได้มาประชุมกันพร้อมแล้ว ผลแห่งกรรมดีก็ย่อมปรากฏในชาตินี้เองไม่ต้องรอชาติหน้า

หากเราเชื่อแต่ผลของกรรมเก่า แต่ไม่เพียรสร้างเหตุปัจจัยของกรรมดีใหม่ในชาตินี้ก็ต้องถูกกรรมเก่าครอบงำชีวิตไปตลอดทั้งชีวิต ...