หมวด: โทษร้ายต่างๆจากดวงชาตา
จำนวนผู้อ่าน: 3061

Pitr Dosha Pic

 

ปิตระ โทษ หรือ ปิตรุ โทษ เป็นหนึ่งในโทษร้ายแรงในดวงชาตาในระบบโหราศาสตร์พระเวท ซึ่งเป็นโทษที่อันตรายที่สุดและเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวกันมาก  และจะทำให้ชีวิตเราต้องประสบความทุกข์ทรมานจากจากเรื่องต่าง ๆ แต่กลับหาเหตุผลที่มาที่ไปไม่ได้

นักโหราศาสตร์ส่วนมากหากไม่ได้ศึกษากฎเกณฑ์เกี่ยวกับโทษต่างๆในโหราศาสตร์พระเวท ก็มักจะเกิดความสงสัยว่าทำไมในดวงชาตาบางดวง มีดาวเคราะห์ให้คุณสูงส่งเป็นอุจน์ เป็นเกษตร และมีโยคเกณฑ์พิเศษมากมายซึ่งน่าจะทำให้ดวงชาตานั้นสูงส่งตามตำรา แต่ผลนั้นกลับกลายเป็นตรงกันข้าม จนทำให้นักโหราศาสตร์เหล่านี้เกิดความสงสัยว่าเป็นเพราะเหตุใด และนี่คือคำตอบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น   

ปิตรุ โทษ หรือดวงบรรพบุรุษให้โทษ คืออะไร

คนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่า ปิตรุ โทษนี้มันคือคำสาปแช่งจากบรรพบุรุษ ซึ่งจริงๆแล้วมันกลับตรงกันขัาม  "ปิตรุ โทษ" จริง ๆ แล้วในความเชื่อของศาสนาฮินดู สิ่งนี้มันคือหนี้กรรมของบรรพบุรุษที่ได้เคยสร้างสมกรรมมาในชาติก่อนๆ ซึ่นมันสะท้อนให้เห็นผ่านทางดวงชาตาในรูปแบบของดาวบาปเคราะห์และจะต้องชดใช้หนี้กรรมโดยผู้ที่มี "ปิตรุโทษ" ในพื้นดวงชาตา  ซึ่งก็คือในดวงของลูกหลานที่สืบวงศ์ตระกูลคนใดคนหนึ่ง

เพื่อให้เข้าใจง่าย "ปิตรุ โทษ" จะเกิดขึ้นในดวงชะตาของผู้ใด แสดงว่าบรรพบุรุษของเจ้าชาตาผู้นั้นได้ก่อกรรมทำบาปอะไรบางอย่างเอาไว้

ดังนั้นเพื่อเป็นการชดใช้บาปกรรมอันนั้น เจ้าชาตาจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำผิดที่ผ่านมาของบรรพบุรุษของเจ้าชาตาโดยผ่านการลงโทษต่าง ๆ ซึ่งผลกรรมจะแสดงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และจะต้องชดใช้วิบากกรรมนี้ไปจนหมด หรืออาจจะแก้ไขด้วยการสร้างกรรมดีก็จะช่วยบรรเทาเบาบางวิบากกรรมนี้ให้ลดลง 

การปรากฏว่ามี"ปิตรุ โทษ"ในพื้นดวงชาตาของใครก็ตาม ก็จะส่งผลให้เกิดความโชคร้ายรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และอาจจะเกิดเรื่องร้ายๆที่คาดไม่ถึงในชีวิตของเจ้าชาตา และโทษนี้จะทำให้ดวงตกอย่างรุนแรงในช่วงอายุใดอายุหนึ่ง และเจ้าชาตามีแนวโน้มที่จะทุกข์ทรมานจากความขัดสนทางด้านการเงินและมีสภาพจิตใจที่ไม่ปกติ ความเครียดอย่างรุนแรง และโรคทางจิตเวช

 

ปิตรุ โทษ กับหลักโหราศาสตร์

โหราศาสตร์มีคำอธิบายที่ค่อนข้างสมบูรณ์และมีเหตุมีผลสำหรับปัญหานี้ เมื่อบรรพบุรุษของเราได้กระทำผิดหรือทำบาปในชีวิตของพวกท่านทั้งที่รู้ก็ดีหรือไม่รู้ก็ดี ทั้งเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี มันก็สะท้อนให้เห็นบุพกรรมเหล่านั้นในดวงชะตาของเราในฐานะที่เราเป็นลูกหลานสืบเชื้อสายตระกูลของบรรพบุรุษเหล่านั้น   ดังนั้นเราจึงถูกลิขิตให้ต้องทนทุกข์ทรมานอันเนื่องมาจากผลร้ายของ"ปิตรุ โทษ" และยิ่งกว่านั้นผลกระทบของดาวบาปเคราะห์ที่เป็น"ปิรตุ โทษ"ก็จะทำลายศุภผลหรือผลดีของดาวที่ให้คุณในดวงชาตานั้นให้สูญสิ้นไปด้วย

 

ผลร้ายจาก”ปิตรุโทษ”

1.หากปรากฏว่ามี "ปิตรุโทษ"ในดวงชาตา เจ้าชาตาจะต้องประสบกับปัญหาหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับลูกหลาน นอกจากนี้ลูกๆของเจ้าชาตามีแนวโน้มที่จะได้รับผลร้ายจากความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ ลูกๆเจ็บป่วยบ่อยอย่างไร้สาเหตุ หรือเจ้าชาตาอาจจะไม่มีบุตรสืบสกุล สภาวะการมีบุตรยากหรือแท้งบุตร

2."ปิตรุโทษ" ทำให้ต้องเผชิญปัญหามากมายเกี่ยวกับการแต่งงานของเจ้าชาตา และเจ้าชาตาไม่สามารถแต่งงานในอายุที่เหมาะสมหรือไม่ก็ทำให้การแต่งงานเนิ่นช้าออกไปจนล่วงวัยกลางคนไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่ได้แต่งงานเลยตลอดชีวิต หรือไม่ก็เกิดการอย่าร้าง

3.เจ้าชาตาและคนในครอบครัวจะถูกรุมล้อมรอบด้วยโรคภัยต่าง ๆ ตลอดเวลา ซึ่งรวมถึงโรคทางพันธุกรรม และจะต้องเผชิญกับปัญหาทั้งทางร่างกาย เช่นความพิการ  จิตใจ อารมณ์และความขัดสนทางด้านการเงินอย่างรุนแรง

4."ปิตรุโทษ" จะทำให้สภาพครอบครัวและสิ่งรอบตัวของเจ้าชาตามีแต่ปัญหาและมีอุปสรรค สามีและภรรยาอาจมีความขัดแย้งและมีปัญหาในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง และมีเหตุให้ทะเลาะเบาะแว้งกันในระหว่างคนในครอบครัว

5."ปิตรุโทษ" จะทำให้เจ้าชาตามักจะต้องแบกรับภาระหนี้สินอยู่เป็นประจำและแม้ว่าเจ้าชาตาจะใช้ความพยายามปลดเปลื้องหนี้สินมากมายเพียงใด แต่สุดท้ายเจ้าชาตาก็จะไม่สามารถชำระหนี้ได้

6.เจ้าชาตาและคนในครอบครัว มักต้องเผชิญกับอุปสรรคทางการเงิน และมักจะประสบกับความยากจนและความขาดแคลนอยู่เสมอ

7.หากครอบครัวหนึ่งประสบกับ "ปิตรุโทษ"  สมาชิกในครอบครัวคนใดก็ตามที่ฝันเห็นงู นั่นแสดงว่าบรรพบุรุษของตระกูลนั้นกำลังต้องการอาหารหรือเสื้อผ้า ซึ่งลูกหลานจะต้องทำบุญอุทิศไปให้

8.เจ้าชาตาอาจสูญเสียชื่อเสียงในสังคมจากผลร้ายของ "ปิตรุโทษ" เจ้าชาตาอาจประสบปัญหารุนแรงในอาชีพการงาน สถานะทางธุรกิจและชื่อเสียงเกียรติยศ และเจ้าชาตาจะมีศัตรูรอบด้าน หากมีปัญหาทางด้านกฎหมายอาจจะทำให้เจ้าชาตาต้องรับโทษจำคุกอยู่เป็นเวลานาน

9."ปิตรุโทษ" ในดวงชาตา อาจจะบ่งชี้ว่าเจ้าชาตาอาจเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติเช่นการฆ่าตัวตาย  อุบัติเหตุ   การฆาตกรรม การสูญเสียชีวิตอย่างลึกลับเพราะถูกคุณไสยหรือต้องอาถรรพ์

10."ปิตรุโทษ" ในดวงชาตาอาจทำให้เกิดความล่าช้าหรือเกิดอุปสรรคในด้านทางการศึกษา

 

ต้นตอและสาเหตุของ “ปิตรุ โทษ” 

(1)บุพกรรม นี่คือตัวอย่างของการกระทำบาปของบรรพบุรุษที่ส่งผลร้ายในดวงชาตาของลูกหลานในรูปแบบของ ปิรตุโทษ

เมื่อพูดถึงกรรมที่ไม่ดีและการกระทำผิดในอดีตคุณรู้หรือไม่ว่า "กาฬ สรปะโทษ" ก็เป็นหนึ่งในโทษทางโหราศาสตร์ที่ร้ายกาจที่สุด ซึ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อเจ้าชาตาด้วยโทษร้ายรุนแรง เหตุผลหลักล้วนเกิดจาก "บุพกรรม" ในชาติปางก่อนของเจ้าชาตาเอง คลิกที่นี่เพื่ออ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กาฬ สรปะ โทษ (อสรพิษแห่งความตาย)- โทษร้ายแรงในดวงชาตา 

และจะไม่มีใครสามารถหลีกหนีผลกรรมเหล่านี้ไปได้ด้วยการสวดมนต์อ้อนวอนหรือการทำพิธีบูชายัญแต่เพียงอย่างเดียว แต่เราจะต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ารับผลกรรมที่เท่าเทียมกันกับผลกรรมที่บรรพบุรุษของเราที่ได้กระทำเอาไว้กับผู้อื่น

**หมายเหตุ-เหตุต้นผลกรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกับศาสนาพุทธนั้นมีส่วนคล้ายกันแต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เพราะกรรมในศาสนาพุทธนั้นรับแทนกันไม่ได้ ใครทำกรรมใดก็ต้องรับผลกรรมอันนั้นเอง แต่ในทฤษฎีนี้มีแนวคิดที่ว่าพ่อแม่ ปู่ย่าตายายทำกรรมอันใดไว้ กรรมนั้นก็จะส่งผลต่อลูกหลานต่อๆไปในอนาคต ซึ่งหากเป็นกุศโลบายเพื่ออธิบายเหตุต้นผลกรรมเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ทฤษฎีนี้ก็พอที่จะยอมรับได้ และอาจจะเห็นว่ามันได้เคยเกิดขึ้นแล้วจริง

(2)เรือนชาตาและดาวเคราะห์

ตำแหน่งดาวเคราะห์และเรือนชาตาที่ส่งผลให้เกิด"ปิรตุ โทษ" ในพื้นดวงของเจ้าชาตา ซึ่งตำแหน่งของดาวเคราะห์และเรือนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ "ปิรตุ โทษ มีดังนี้

(1.) ดาวอาทิตย์- หมายถึงบิดาและบรรพบุรุษ

(2.) ดาวจันทร์ - หมายถึงมารดาและจิตใจ

(3.) ดาวเสาร์- หมายถึงหนี้กรรมและความยากลำบากในชีวิต

(4.) เรือนที่ 9- หมายชาติปางก่อนและบรรพบุรุษ   

(5.) เรือนที่ 2 - หมายถึงครอบครัว มรดกและสายเลือด

 

"ปิรตุ โทษ" หรือ "ปิรตะ โทษ" ตามหลักโหราศาสตร์พระเวท เกิดจากการร่วมกันของดาวเคราะห์สองดวงหรือหลายดวง และสัมพันธ์กับเรือนชาตาบางเรือนในพื้นดวงของเจ้าชะตา สาเหตุสำคัญที่สุดกล่าวกันว่า  การเป็นโยคต่อกันระหว่างดาวอาทิตย์กับดาวเสาร์  ไม่ว่าจะเป็นการแลกเรือนกัน การเล็งกัน หรือการสถิตร่วมเรือน/ราศีเดียวกัน อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมทำให้เกิด "ปิรตุ โทษ" ในดวงชาตา และความสัมพันธ์ที่คล้ายกันข้างต้นระหว่างดาวพฤหัสและดาวพุธอาจทำให้"ปิรตุ โทษ" ได้เช่นกัน แต่มีผลกระทบน้อยกว่า

ในคัมภีร์ปุราณะ กล่าวว่า บาปกรรมของบรรพบุรุษเป็นสาเหตุให้เกิด"ปิรตุ โทษ"  แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลกรรมเหล่านี้ล้วนมาจากการกระทำในอดีตชาติของตัวเจ้าชาตาเอง โลกนี้มีวิญญาณนับล้านๆดวงที่ยังไม่เป็นสุข และยังต้องทนทุกข์ทรมานอยู่  ซึ่งวิญญาณทั้งหมดเหล่านั้นล้วนเป็นบรรพบุรุษของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

แต่ความจริงในอีกแง่หนึ่งก็คือว่า "วิญญาณของบรรพชน" นั้นไม่ใช่คนที่ตายไปแล้ว แต่กลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดและไม่เคยตาย  "วิญญาณของบรรพชน" เหล่านี้สถิตอยู่ในรูปของ DNA และดำเนินการสืบสาย"โคตร"หรือเผ่าพันธ์ต่อไป ผ่านโครโมโซม 'Y' ของเพศชายในครอบครัวนั้น

เมื่อคนคนหนึ่งต้องทนทุกข์ทรมานจาก"ปิตรุโทษ" ครอบครัวของคนเหล่านั้นก็ยังจะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อสืบวงศ์ตระกูลต่อไปได้  ไม่ว่าพวกเขาจะมีหรือไม่มีลูกก็ตาม หรือมีลูกแต่ต้องแยกจากกันก็ตาม และหากไม่มีลูกหลานที่เป็นชายในรุ่นต่อไปแล้ว ก็ต้องถือว่าการสืบเชื้อสาย(โคตร)นี้ได้จบสิ้นลงไปแล้ว

 

การวินิจฉัย”ปิรตุ โทษ”ในดวงชาตา จากเรือนและดาวเคราะห์ต่างๆ

1. ดาวศุกร์, ดาวเสาร์ และ ราหู หรือสองในสามดวงนี้สถิตย์ในเรือนที่ 5 ของดวงชาตา  - ดาวอาทิตย์จะกลายเป็นดาวปิรตุ โทษที่จะส่งผลร้ายต่อเจ้าชาตา

2. ดาวเกตุ(สากล) สถิตย์ในเรือนที่ 4 ของดวงชะตา -ดาวจันทร์จะกลายเป็นดาวปิรตุ โทษที่จะส่งผลร้ายต่อเจ้าชาตา

3.ดาวพุธหรือดาวเกตุ(สากล) หรือทั้งสองดวง สถิตย์ในเรือนที่ 1 หรือ 8 ในดวงชะตา - ดาวอังคารจะกลายเป็นดาวปิรตุ โทษที่จะส่งผลร้ายต่อเจ้าชาตา

4.ดาวจันทร์สถิตย์ในเรือนที่  3 หรือ 6 ของดวงชะตา - ดาวพุธจะกลายเป็นดาวปิรตุ โทษที่จะส่งผลร้ายต่อเจ้าชาตา

5.ดาวศุกร์, ดาวพุธหรือราหู, หรือสองในสามของดาวเคราะห์ทั้งสามนี้ สถิตย์ในเรือนที่  2 หรือ 5 หรือ 9 หรือ 12  ของดวงชะตา - ดาวพฤหัสบดีจะกลายเป็นดาวปิรตุ โทษที่จะส่งผลร้ายต่อเจ้าชาตา

6.หากดาวอาทิตย์ หรือดาวจันทร์ หรือดาวราหู ซึ่งดาวสองในสามดวงนี้หรือทั้งหมดสถิตย์ในเรือนที่   7 ของดวงชะตา - ดาวศุกร์ จะกลายเป็นดาวปิรตุ โทษที่จะส่งผลร้ายต่อเจ้าชาตา

7.ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์หรือดาวอังคาร ซึ่งดาวสองในสามดวงนี้หรือทั้งหมดสถิตย์ในเรือนที่  10 หรือ 11 ในดวงชะตา - ดาวเสาร์จะกลายเป็นดาวปิรตุ โทษที่จะส่งผลร้ายต่อเจ้าชาตา

8.ดาวอาทิตย์หรือดาวศุกร์หรือทั้งสองดวงนี้สถิตย์ในเรือนที่ 12 ในดวงชะตา - ราหูจะกลายเป็นดาวปิรตุ โทษ ที่จะส่งผลร้ายต่อเจ้าชาตา

9. ดาวจันทร์หรืออังคาร สถิตย์ร่วมกันในเรือนที่  6 ในดวงชะตา - ดาวเกตุ(สากล)จะกลายเป็นดาวปิรตุ โทษที่จะส่งผลร้ายต่อเจ้าชาตา

10. "ปิรตุ โทษ" ในดวงชาตาจะเกิดขึ้นเมื่อ เรือนที่ 9 หรือ เจ้าเรือนที่ 9 ได้รับโยคเกณฑ์จากราหูหรือเกตุ

11. หากดาวอาทิตย์ หรือ ดาวพฤหัสบดีได้รับโยคเกณฑ์จากราหูหรือเกตุ  ก็จะให้ผลของ "ปิรตุ โทษ"  ในระดับหนึ่ง

12. "ปิรตุ โทษ" ในดวงชาตาจะเกิดขึ้นเมื่อ ดาวอาทิตย์ร่วมราหู หรือ ดาวอาทิตย์ร่วมดาวเสาร์ ในเรือนที่ 1,2,4,7,9และเรือนที่ 10 ในพื้นดวงชาตา

13. "ปิรตุ โทษ" ในดวงชาตาจะเกิดขึ้นเมื่อ ดาวราหูกุมลัคนา และเจ้าเรือนลัคนา นั้นไปสถิตในเรือนที่ 6,8,12  (ทุสถานะภพ)

14. หากเจ้าเรือนทุสถานะภพ คือ เจ้าเรือนที่ 6, ที่ 8 และที่12 ได้รับโยคเกณฑ์จากดาวเคราะห์ใดก็ตามที่เป็นก่อให้เกิด "ปิรตุ โทษ" ตามหลักทฤษฎีข้างต้น  เจ้าชาตาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากอุบัติเหตุร้ายแรง การบาดเจ็บ ปัญหาสายตา และโรคเรื้อรัง ต่างๆ

 

การแก้เคล็ด สำหรับบุคคลผู้มี"ปิรตุ โทษ"ในดวงชาตา

1.เจ้าชาตาควรถวายอาหารแก่พวกนักบวช สมณะ ชี พราหมณ์ บริจาคเงินและถวายเสื้อผ้าสีแดงให้กับพวกท่านเหล่านั้น และทำพิธีตรรปะณะ(บวงสรวงบรรพบุรุษ)  ในวันอาทิตย์ที่เป็นวันสังกรานติ(วันดาวอาทิตย์ย้ายราศี) หรือ วันอมาวสี(วันจันทร์ดับ)

2.เพื่อเป็นการแก้ไขโทษนี้เจ้าชาตาควรจัดพิธี ปิตระ โทษะ นิวาระณะ ปูชา    पित्र दोष निवारण पूजा  

3.เจ้าชาตาควรปฏิบัติพิธีกรรมบูชาบรรพบุรุษในวันสารทด้วยความจริงใจและศรัทธาอย่างสูงสุด

4.เจ้าชาตาควรทำบุญกรวดน้ำให้กับบรรพบุรุษเป็นเวลา 15 วันในช่วงวันพิธีสารท(ปิรตะ ปักษ์)หรือทำบุญกรวดน้ำให้กับบรรพบุรุษในวันครบรอบของการเสียชีวิต

5.นอกจากนี้การรดน้ำให้แก่ต้นไทรและสรงน้ำถวายแด่พระศิวะเป็นประจำทุกวันช่วยลดผลกระทบด้านลบของ "ปิรตุ โทษ" 

6.การทำบุญกุศลด้วยการถือ"วรัต"หรือพิธีการอดอาหารสำหรับการทำลายผลร้ายของ"ปิรตุ โทษ" 

7.ถวายอาหารแด่นักบวช สมณะ ชี พราหมณ์ ในวันเพ็ญ ปุรณมี และ วันอมาวสี ในวัดหรือสถานที่ทางศาสนาอื่น ๆ

8.นมัสการพระศิวะเป็นประจำเพื่อความสันติสุขให้กับตัวเองและบรรพบุรุษของเจ้าชาตา

**วันสารท คือช่วงวันสำหรับกระการเซ่นสรวงบูชาและทำกุศลอุทิศให้กับบรรพบุรุษประจำปี  โดยถือเอาตั้งแต่วันเพ็ญขึ้น 15ค่ำเดือน 10(ไทย) ไปจนถึงวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 (วันสารทเดือน 10)  และวันสารทไทยและวันสารทของอินเดียส่วนมากมักจะตรงกัน เพราะไทยได้รับเอาคติความเชื่อนี้มาจากอินเดีย