ดาวให้คุณ-ดาวให้โทษ เฉพาะคนเกิดลัคนาราศีเมษ

เรื่องดาวให้คุณและให้โทษนี้ เป็นเรื่องที่นักโหราศาสตร์หลายๆคนยังยังสงสัย ว่าทำไมบางครั้งดาวร้ายๆอย่างเสาร์และอังคารมาทับลัคนากลับกลายเป็นเรื่องที่ดี มีโชค และกลับไม่มีผลร้ายตามตำราหลายๆตำราที่กล่าวว่าเป็นอันตรายและเป็นโทษร้ายแรงในดวงชาตา แต่ดาวดีๆอย่างดาวพฤหัส หรือดาวศุภเคราะห์อื่นๆที่มาทับลัคนาหรือมีโยคเกณฑ์ดีๆกลับกลายเป็นเรื่องร้ายๆไป แต่บางตำราในทางโหรไทยท่านก็แก้ด้วยการใช้ทักษาเข้ามาจับ เช่นว่า ว่าปีนี้ดาวพฤหัสเป็นกาลี พอมาทับลัคน์แทนที่จะให้คุณก็กลายเป็นให้โทษไป หรือบางครูอาจารย์ก็หากฎเกณฑ์อื่นๆมาช่วยอธิบายกฎเกณฑ์ที่ผิดแปลกไปดังข้างต้น แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถสรุปกฎเกณฑ์อะไรได้ แถมยังต้องมีข้อยกเว้นอีกมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว จนนักศึกษาโหราศาสตร์บางคนเกิดความท้อถอย ว่าหลักการเรื่องดาวให้คุณให้โทษตามหลักต่างๆนั้นใช้ได้จริงๆหรือไม่

เรื่องนี้มีคำตอบ ในทฤษฎีของโหราศาสตร์ภารตะ โดยท่านใช้ราศีต่างๆเป็นเกณฑ์อธิบายความสัมพันธ์ของดาวเคราะห์ต่างที่สัมพันธ์กับลัคนาโดยเฉพาะ  ซึ่งแต่ลัคนาก็มีดาวให้คุณให้โทษแตกต่างกัน โดยท่านอธิบายว่า ดาวศุภเคราะห์เช่น จันทร์ พุธ พฤหัส ศุกร์ ไม่จำเป็นต้องจะให้คุณแก่ดวงชาตาเสมอไปในทุกลัคนา  ดาวศุภเคราะห์เหล่านั้นก็อาจจะให้โทษหนักรุนแรงกว่าดาวบาปเคราะห์ก็เป็นได้  และในทำนองเดียวกัน ดาวบาปเคราะห์เช่น อาทิตย์ อังคาร เสาร์ ที่ทุกคนกลัวนักกล้วหนาว่าจะให้โทษ ก็อาจจะกลับกลายเป็นให้คุณแก่เจ้าชาตาได้อย่างมหาศาล บางรายอาจจะให้คุณมากกว่าดาวศุภเคราะห์ใหญ่อย่างพฤหัสก็เป็นได้

 

คำจำกัดความศุภเคราะห์และบาปเคราะห์

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจคำว่าศุภเคราะห์และบาปเคราะห์ก่อน โหราจารย์ฝ่ายภารตะท่านกำหนดว่า ดาวศุภเคราะห์จริงๆนั้นมีเพียง ศุกร์ และ พฤหัส สองดวงเท่านั้น ส่วนดาวบาปเคราะห์ มีอาทิตย์ อังคาร เสาร์ เพียง 3 ดวง ส่วนที่เหลืออยู่ คือ จันทร์และพุธนั้น แปรเปลี่ยนได้ ว่าจะเป็นบาปเคราะห์หรือศุภเคราะห์ ถ้าหากว่า ดาวจันทร์เป็นจันทร์ไม่มีแสง หรือ มีแสงน้อย เช่น อมวาสี  หรือ แรม 7 ค่ำไปจนถึงขึ้น 6 ค่ำ ท่านว่า ดาวจันทร์เป็นดาวบาปเคราะห์ หรือ ดาวจันทร์เป็นดาวมีแสงมาก ตั้งแต่ ขึ้น 7ค่ำ ไปจนถึงแรม 6  ค่ำ ท่านว่าดาวจันทร์นั้นนับว่าเป็นดาวศุภเคราะห์  และดาวพุธ ก็มีกฎเกณฑ์เฉพาะอีกว่า หากดาวพุธนั้นสัมพันธ์กับดาวบาปเคราะห์ เป็นต้นว่า กุม เล็ง โยค ฯลฯ ก็นับว่าดาวพุธนั้นเป็นดาวบาปเคราะห์ ส่วนดาวพุธหากไม่สัมพันธ์กับดาวบาปเคราะห์ ก็ถือว่า ดาวพุธนั้นเป็นศุภเคราะห์เต็มตัว

จากหลักการข้างต้น จะเห็นว่า ดวงชาตาของคนเราทุกๆคนจะ มีศุภเคราะห์เพียง 2 ดวง บาปเคราะห์เพียง 3 ดวง ส่วนอีกสองคือพุธกับจันทร์ ก็ต้องดูแต่ละชาตาไปว่า เป็นบาปเคราะห์หรือศุภเคราะห์ หากสองดวงนี้แสดงตัวว่าเป็นศุภเคราะห์ ก็เท่ากับว่าในดวงชาตานี้ มีดาวศุภเคราะห์เพิ่มขึ้น เป็น 4 ดวง มีบาปเคราะห์เพียง 3 ดวง  ในดวงชาตานี้ก็น่าจะเป็นดวงที่มีโชคและประสบความสำเร็จได้ง่ายๆเพราะมีศุภเคราะห์ช่วยเหลือ เป็นจำนวนมากกว่า บาปเคราะห์  ในทางกลับกันหากดวงชาตาใดมีดาวพุธและจันทร์กลายเป็นบาปเคราะห์ ก็เท่ากับว่าดวงชาตานั้นมีบาปเคราะห์ จำนวนมากถึง 5 ดวงในชาตา นี่ยังไม่นับราหูกับเกตุเข้าไปอีกและมีศุภเคราะห์เหลือเพียงสองดวง ก็เท่ากับว่าดวงชาตานี้หนักหาสาหัส เพราะมีแต่บาปเคราะห์เข้ามาสร้างอุปสรรคและทำร้ายต่อดวงชาตา แต่จริงๆแล้วไม่ใช่

 

การให้ศุภผลและบาปผล

ในความเป็นจริงในโหราศาสตร์ระบบของภารตะ ท่านให้ความจำกัดความของดาวศุภเคราะห์และบาปเคราะห์เอาไว้ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็เพื่อแสดงคุณลักษณะของการแสดงตัวตน อารมณ์ นิสัยและลักษณะตามธรรมชาติของดาวเคราะห์นั้นๆแต่การให้ผลดี-ชั่วต่อดวงชาตาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยท่านกล่าวว่าดาวศุภเคราะห์สามารถให้ได้ทั้งศุภผล(ผลดี) และบาปผล(ผลร้าย)ได้เท่ากันกับบาปเคราะห์ ซึ่งก็หมายความว่าดาวดีก็ให้ผลร้ายได้ และดาวร้ายก็ให้ผลดีได้เช่นกัน

 

ผลจากทุสถานะภพ

ภพที่เป็นทุสถานะคือ ภพที่ 6 ภพที่ 8 และภพที่ 12 ซึ่งเราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วว่าเป็นภพที่ร้าย ให้โทษต่อดวงชาตา (โหรภารตะเรียกว่า ตรีกะสถาน) หากดาวดีๆไปสถิตอยู่ ผลก็คือทำลายคุณความดีของดาวดวงนั้น แต่มีข้อยกเว้นคือหากดาวเจ้าเรือนทุสถานะ ไปอยู่ในภพทุสถานะ ผลก็คือ ร้ายกลายเป็นดี เราพะผลร้ายถูกทำลายลงไปตามความหายของเรือน เช่น ดาวเจ้าเรือน อริ ไปสถิต ในเรือน มรณะ ก็ถือว่าโทษทุกข์ทั้งปวงของเรือนอริถูกทำลายลงไปในเรือนมรณะ ก็ถือว่าเป็นมงคลดีต่อดวงชาตา หรือเจ้าเรือนทุสถานะเป็นเกษตรในภพนั้นเอง เช่น ราศีเมษ มีดาวพุธสถิตย์อยู่ในราศีกันย์ (เป็นเกษตร-อุจน์) ก็ต้องถือว่าดีมากเพราะความเป็นอวัสถาของดาวเคราะห์ที่เป็นเกษตรหรืออุจน์ ก็ย่อมให้ผลดีต่อเรือนนั้น

ส่วนภพที่ 3  ของลัคนาทุกราศี ก็นับว่าเป็นทุสถานะอีกภพหนึ่ง ซึ่งหลายๆคนไม่รู้ เพราะภพที่ 3 คือภพที่ 8 จากภพที่ 8 ราศีพิจิก (มรณะของมรณะ)  ดังนั้นดาวที่สถิตในภพนี้มักไม่ให้คุณมากนัก โหราศาสตร์ภารตะท่านเรียกเรือนนี้ว่าให้โทษ เพราะเป็นหนึ่งในเรือน ตรีษัฑทายะ (มี 3 เรือนคือเรือนที่ 3-สหัสชะ ที่ 6-อริ และที่ 11-ลาภะ)

ส่วนภพที่ 11 คือภพที่ 6 จากภพที่ 6 ราศีกันย์ (อริของอริ) และเป็นวินาศจากภพวินาศ ราศีมีน (วินาศของวินาศ) และเรือนลาภะภพ 11 นี้ก็เป็นเป็นเรือน ตรีษัฑทายะ ซึ่งให้โทษ

และภพที่ 11 นี้สำหรับจรราศีจะเรียกอีกอย่างว่า เป็น พันธกะสถานะ (พันธกะ-อุปสรรค) ดาวเจ้าเรือนภพที่ 11 เรียกว่า พันธกะเกษตร หากไปสถิตอยู่ภพไหนเรือนไหนก็ให้อุปสรรคแก่ภพนั้นเรือนนั้น และหากดาวใดไปสถิตย์อยู่ในเรือนที่ 11 นี้ถือว่าต้อง”พันธกะโทษ” ผลคือทำลายเรือนของดาวนั้นๆ เช่น ราศีเมษ(จรราศี) ดาวอาทิตย์ไปสถิตราศีกุมภ์   อันเป็นภพที่ 11 ก็ถือว่า ดาวอาทิตย์ต้อง พันธกะโทษ ผลก็คือทำลายเรือนของอาทิตย์(ราศีสิงห์) ให้มีอุปสรรค

ส่วนสถิรราศี เจ้าเรือนที่ 9 และทวิภาวะราศีเจ้าเรือนที่ 7จะเป็นพันธกะสถาน (คัมภีร์พฤหัต ประราสาระ โหราศาสตร์)

 

ดาวเคราะห์กับการให้ผลดี-ร้ายเฉพาะในลัคนาราศีเมษ

 

1.ดาวอาทิตย์- เป็นดาวเจ้าเรือนที่ 5 ของดวงชาตาลัคนาราศีเมษ และจากหลักทั่วไปของโหราศาสตร์ท่านว่าดาวเคราะห์ที่เป็นเจ้าเรือนตรีโกณนั้นให้ศุภผลเสมอ ดังนั้นดาวอาทิตย์จึงเป็นดาวให้คุณกับลัคนาราศีเมษโดยเฉพาะ ทั้งความหมายเรือนและภพซึ่งเป็นภพที่ให้คุณ (ภพที่ 5-ปุตตะ) ทั้งความหมายในทางส่งเสริม (ตรีโกณ) และความหมายในการร่วมธาตุ (ตรีโกณร่วมธาตุไฟ กับราศีเมษ)และความหมายในการเป็นคู่มิตรต่อกันระหว่างอาทิตย์และอังคาร

ดังนั้นแม้ว่าอาทิตย์จะเป็นดาวบาปเคราะห์ ก็จะส่งผลดีให้เจ้าชาตาอย่างไม่มีข้อแม้ใดใด และถ้าหากสถิตในตำแหน่งที่ให้คุณ คือ ราศีเมษ (เป็นอุจน์) ราศีกรกฏ (เรือนคู่มิตร) ราศีสิงห์(เรือนตัวเอง-เกษตร-คู่มิตร) ก็จะให้คุณมากที่สุด แต่หากสถิตเรือนเกณฑ์-ตรีโกณอื่นๆเช่น ราศีมังกร (ภพ 10) ราศีตุลย์ (ภพ 7)  ราศีธนู(ภพ9) ก็จะให้คุณเช่นกัน  แต่หากไปสถิตราศีที่เป็นทุสถานะภพ เช่น ราศีกันย์ (ภพ 6-อริ) ราศีพิจิก (ภพ 8- มรณะ) และราศีมีน(ภพ 12 –วินาศ) ก็จะกลายเป็นให้โทษไป สำหรับลัคนานี้

 

2.ดาวจันทร์-เป็นดาวเจ้าเรือนที่ 4 ของลัคนาราศีเมษ ซึ่งเป็นเรือนเกณฑ์ โดยที่ดาวจันทร์เป็นได้ทั้งศุภเคราะห์และบาปเคราะห์ และเป็นดาวคู่มิตรกับดาวอังคารลัคนาราศีเมษ ผลจะเป็นไปดังนี้

2.1.ดาวจันทร์เป็นคู่มิตรกับอังคาร ในลัคนาราศีเมษ ย่อมจะให้คุณ (ตามหลักทั่วไปในโหราศาสตร์)

2.2.หากดาวจันทร์เป็นบาปเคราะห์ (เพราะอับแสง) ย่อมให้คุณกับราศีเมษ เพราะเป็นเจ้าเรือนเกณฑ์ ตามกฎที่ว่าดาวบาปเคราะห์หากเป็นเจ้าเรือนเกณฑ์จะให้คุณแก่เจ้าชาตา

2.3.หากดาวจันทร์ในดวงชาตาเป็นศุภเคราะห์ (เพราะมีแสง)ย่อมให้โทษ ตามกฎของ “เกณฑราธิปติโทษ” (ดาวศุภเคราะห์หากเป็นเจ้าเรือนเกณฑ์จะให้โทษต่อดวงชาตา) กรุณาอ่าน เกณฑราธิปติโทษ ดาวศุภเคราะห์ให้โทษในดวงชาตา

อย่างไรก็ตามโดยลักษณะธรรมชาติของดาวจันทร์นั้นเป็นไปโดยอ่อนไหว ไม่รุนแรง การให้โทษจากจันทร์นั้นคงไม่ต้องกังวลมากนั้น และหากจันทร์สถิตย์ในตำแหน่งให้คุณกับดวงชาตา เช่นเป็นอุจน์ เป็นเกษตร นั้นย่อมให้คุณได้อย่างแน่นอน

 

3.ดาวอังคาร ถึงแม้จะเป็นบาปเคราะห์ธรรมชาติ แต่จะให้คุณต่อราศีเมษสถานเดียว เพราะเป็นลัคนาธิปติหรือเจ้าเรือนลัคน์ของตัวเอง และถึงแม้ว่าดาวอังคารจะเป็นเจ้าเรือนทุสถานะภพที่ 8 ด้วยก็ตาม ก็ไม่ส่งผลร้ายใดใดต่อลัคนาราศีเมษ เพราะตัวเองก็ย่อมไม่ทำลายตัวเองอยู่วันยังค่ำ แต่อย่างไรก็ตามการเป็นเจ้าเรือนภพ 8 ของอังคารจะก่อให้เกิดผลของราชาโยคใดใดได้

และหากเจ้าเรือนนี้ไปสถิตในเรือนเกณฑ์ตามกฎ เช่น เมษ(เรือนเกษตร) มังกร(เรือนอุจน์)  ก็ย่อมให้คุณมาก

กรกฏ(เรือนคู่มิตร-นิจ) จะให้คุณเฉพาะในกรณีที่อังคารได้ นิจจะภังคะโยค คือล้างโทษจากการเป็น นิจ เช่นสถิตย์ร่วมพฤหัส (อุจน์) ในราศีกรกฏ  หรือจันทร์เจ้าราศีกรกฏ ได้ตำแหน่งอุจน์ในราศีพฤษภ หรือกฎเกณฑ์อื่นๆในนิจจะภังคราชาโยค

ส่วนอังคารในราศีตุลย์นั้นผลจะลดลงนิดหน่อยอันเนื่องจากเจ้าเรือน(ดาวศุกร์) นั้นเป็นกลางกับดาวอังคาร (ตามกฎคู่มิตร-ศัตรูตามธรรมชาติของดาวเคราะห์) แต่ถ้าหากดาวอังคารในราศีตุลย์มีดาวศุกร์อยู่ทำมุม 2,3,4,10,11และ 12 จากดาวอังคาร ก็ถือว่าเป็นคู่มิตรน้อยหรือคู่มิตรชั่วคราว ก็จะส่งผลให้อังคารมีสถานะดีขึ้น แต่หากเป็นคู่ศัตรูชั่วคราว ก็จะให้ผลตรงกันข้าม กรุณาอ่านวิเคราะห์ดาวคู่มิตร-ศัตรูแบบภารตะ-ไทย

หมายเหตุ-คู่มิตรชั่วคราว คำนวณจากดวงชาตา โดยดาวเคราะห์ในเรือนใดที่เป็น 2,3,4,10,11และ 12 จากดาวเคราะห์ใดก็จะเป็นมิตรชั่วคราวจากดาวเคราะห์นั้น

คู่ศัตรูชั่วคราวคำนวณจากดวงชาตา โดยดาวเคราะห์ในเรือนใดที่เป็น 1 (ร่วมกัน),7(เล็งกัน),5,9 (ตรีโกณกัน)และ 6,8 (อริ มรณะต่อกัน) จากดาวเคราะห์ใด ก็จะเป็นศัตรูชั่วคราวจากดาวเคราะห์นั้น

คัมภีร์ภวรรถรัตนากร ท่านกล่าวว่า ดาวอังคารเป็นศุภ(ให้ผลดี)ถ้าร่วมลัคน์ในราศีเมษ หรือ พิจิก อยู่เรือนที่ 4 ที่ 8 หรือ ที่ 9 ร่วมพฤหัสบดี หรือ ร่วมกับจันทร์ หรือเล็งกับจันทร์ จะให้ผลดีเป็นพิเศษ ซึ่งหลักการนี้คำนวนมาจากการเป็นคู่มิตรต่อกัน ระหว่าง อังคาร กับ อาทิตย์,จันทร์,พฤหัส

ส่วนดาวอังคารที่ให้โทษ ก็คือ ดาวอังคาร ที่เป็นนิจ(ในราศีกรกฏ) และอังคารในราศีของดาวพุธ(ดาวคู่ศัตรู)

 

4.ดาวพุธ ซึ่งดาวพุธนี้ถือว่าเป็นโทษกับลัคนาราศีเมษหลายชั้นด้วยกัน คือ(1)เป็นคู่ศัตรูกับดาวอังคารตามกฎคู่มิตร-ศัตรูถาวรตามธรรมชาติของโหราศาสตร์ภารตะ (2)เป็นเจ้าเรือนทุสถานะภพที่ 6-อริ ต่อลัคนาราศีเมษ (3) เป็นเจ้าเรือนภพที่ 3 หรือเป็นภพมรณะของมรณะ(พิจิก) (4) เป็นภพ ตรีษัฑทายะ(ที่3และที่ 6)ซึ่งให้โทษ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ดาวพุธจึงให้โทษรุนแรงมาก หากดาวพุธในดวงชาตาเป็นดาวบาปเคราะห์ แต่หากดาวพุธในดวงชาตาแสดงตนเป็นดาวศุภเคราะห์ก็จะกลับเป็นการให้ผลดี

อีกในกรณีหนึ่งพุธจะกลับเป็นผลดีหากพุธสถิตในตำแหน่งทุสถานะภพ คือ ที่ 6 (ราศีกันย์) ที่ 8 (ราศีพิจิก) และที่ 12 (ราศีมีน)  หรือหากสถิตในตำแหน่งเกษตรในราศีที่ไม่ใช่ทุสถานะ คือราศีมิถุน พุธก็จะให้แต่ความหมายแต่ในราศีมิถุน โดยแสดงผลร้ายจากความหมายภพที่ 6 (กันย์)น้อยลงไปจนไม่เหลือเลยหรือพุธในราศีมีน เป็นนิจ แต่กลับไม่ส่งผลร้ายใดใดให้ เพราะความเป็นเจ้าเรือนที่ 6 (อริ)ถูกทำลายไปโดยการสถิตย์ในเรือนที่ 12 (วินาศ)

 

5.ดาวพฤหัส ถือว่าเป็นมงคลแก่ลัคนาราศีเมษ เพราะ(1)ดาวพฤหัสเป็นมหาศุภเคราะห์เป็นมิตรกับอังคารเจ้าราศี (2)พฤหัสเป็นเจ้าเรือนตรีโกณ(ที่9) ของลัคน์เมษ การมีโยคร่วมกันระหว่าเจ้าเรือนเกณฑ์ที่ 4(จันทร์และเจ้าเรือนตรีโกณที่ 9 (พฤหัส)ให้ผลเป็นราชาโยค และ คชเกษริโยค  ซึ่งจะส่งผลดีให้กับดวงชาตาเป็นอย่างยิ่ง และหากพฤหัสมีกำลังเช่น เป็นอุจน์ เกษตร ก็จะลบล้างผลร้ายของการเป็นเจ้าเรือนที่ 12 ได้ เป็นอย่างมาก

 

6.ดาวศุกร์ ถือว่าให้โทษแก่ราศีเมษ เพราะเจ้าเรือน มารการก หรือ มารที่จะทำลายชีวิต เรือนมารการก หมายถึงเรือนที่ 2 และเรือนที่ 7 ของทุกๆลัคนา โดยเฉพาะราศีเมษ มีดาวศุกร์เป็นเจ้าเรือนมารการก 2 สถานคือ เจ้าเรือน 2และที่ 7 และนอกจากนี้ดาวศุกร์ในดวงชาตาก็ถือว่าเป็น เกณฑราธิปติโทษอีกด้วย ดังนั้นดาวศุกร์จึงไม่ให้ความรุ่งเรืองใดใดแก่เจ้าชาตา

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างดาวศุกร์และดาวอังคารเจ้าเรือนลัคน์นั้นมีสถานะเป็นกลางต่อกัน ดังนั้นก็ต้องดูในแต่ละชาตาว่าเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกันเฉพาะชาตา หากคำนวณแล้วปรากฏว่าเป็นมิตรกับอังคารก็ถือว่าลดโทษลงไป แต่หากเป็นศัตรูกันก็ต้องระวังผลร้ายจากเรือนที่ดาวศุกร์ครองและตำแหน่งที่สถิตอยู่และการลบล้างผลร้ายใดใดก็ต้องให้ศุกร์สถิตย์ในตำแหน่งที่เป็นเกษตรหรือเป็นอุจน์ในดวงชาตาจึงจะพอสลายอิทธิพลร้ายๆได้

 

7.ดาวเสาร์ ถือว่าเป็นดาวให้โทษแก่ลัคนาราศีเมษ มีสองสถานคือ (1)ดาวเสาร์เป็นศัตรูถาวรโดยธรรมชาติกับดาวอังคาร เจ้าลัคนาราศีเมษ (2) ดาวเสาร์เป็นเจ้าเรือนที่ 11 ซึ่งเป็นเรือนพันธกะสถาน (3)เป็นเจ้าเรือน ตรีษัฑทายะ(ที่11)ซึ่งเป็นเรือนให้โทษ และ(4)ลักษณะของเสาร์เป็นดาวบาปเคราะห์ให้โทษอยู่แล้วโดยธรรมชาติของเสาร์ ดังนั้นเสาร์ จึงเป็นดาวให้โทษรุนแรงสำหรับลัคนาราศีเมษ นอกเสียว่าเสาร์นั้นได้ตำแหน่งอุจน์ เกษตร หรือมูลตรีโกณ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ให้คุณของเสาร์จึงพอจะล้างโทษได้ แต่การเป็นเจ้าเรือน ตรีษัฑทายะที่ 11 ของเสาร์(ราศีกุมภ์)นี้ หากสัมพันธ์กับดาวอื่นก็ย่อมจะไม่ก่อให้เกิดราชาโยคแต่อย่างใด เช่น พฤหัส(เจ้าเรือนที่ 9) ร่วมกับเสาร์(เจ้าเรือนที่ 10)ตามหลักแล้วควรจะเป็นราชาโยค แต่สำหรับราศีเมษจะไม่ให้ผลราชาโยค ในกรณีนี้

ส่วนดาวราหู-และเกตุ มีวิธีพิจารณาแตกต่างกันออกไปโดยเฉพาะ ซึ่งจะเขียนบทความแยกเป็นพิเศษในตอนต่อไป

 

โหราจารย์ฝ่ายภารตะท่านกล่าวว่า ชาวราศีเมษโดยทั่วไปเจ้าชาตาจะยากจนแม้จะเกิดในตระกูลมีทรัพย์ ก็เพราะความเอื้อเฟื้อเผื่อและใช้จ่ายเงินอย่างพุ่มเฟือย ไม่รู้จักประหยัดอดออม เก็บเงินไม่อยู่ อันเป็นผลมาจากดาวพฤหัสเจ้าเรือนที่ 9 (ทรัพย์สิน) เป็นเจ้าเรือนที่ 12 (การใช้จ่าย) ด้วย นอกเสียจากว่าดาวพฤหัสได้ตำแหน่งที่ดีในดวงชาตา เช่น สถิตในราศีธนู(เกษตรเรือนที่ 9) หรือได้ศุภวรรคอื่นๆ เช่น วรรคอุตมางศะ(วรโคตรรนววางศ์) เป็นอุจน์ (ราศีกรกฏ) หรือสัมพันธ์กับจันทร์ (คชเกศริโยค) ผลร้ายจากเรือนที่ 12 ก็จะบรรเทาเบาบางลงไป

 

ในการเสวยอายุของดาวเคราะห์ ท่านว่าลัคนาราศีเมษ ส่วนมากแล้วจะชาตาชีวิตเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในมหาทศาของดาวอาทิตย์(เจ้าเรือนที่ 5) มหาทศาจันทร์(เจ้าเรือนที่ 4) มหาทศาพฤหัส(เจ้าเรือนที่ 9-12) และมหาทศาเสาร์(เจ้าเรือนที่ 10-11) ส่วนมหาทศาพุธ หรือ ศุกร์ มักให้โทษ เว้นแต่ได้เกณฑ์อธิโยค หรือพุธเป็นนิจ หรือ ศุกร์สถิตในเรือนตรีโกณแก่ลัคน์ และทศาเสาร์ให้ความสำเร็จในเบื้องต้นแต่แล้วก็จะถูกทำลายลงไปในปลายของทศา หากเสาร์เสวยอายุเป็นลำดับที่ 4 ของดวงชาตาท่านว่าเป็นภัยร้ายแรงอย่างยิ่งแก่ชีวิตของเจ้าชาตา

สรุป- ในลัคนาราศีเมษ ตามทฤษฎีของมหาฤาษีประราสาระ ท่านว่า เสาร์ พุธ ศุกร์ เป็นปาป (ให้โทษ) และอาทิตย์ พฤหัส เป็นศุภะ (ให้คุณ) ส่วนจันทร์นั้นให้คุณหรือโทษจะแปรเปลี่ยนไปตามลักษณะที่สถิตของจันทร์ การมีกำลัง การสัมพันธ์กับดาวเคราะห์อื่น และอังคาร เป็นลัคนาธิปติ(เจ้าเรือนลัคน์) ย่อมไม่ให้โทษ (เป็นกลาง) แต่จะให้คุณหรือไม่ ต้องพิจารณาจากตำแหน่งที่สถิตและความสัมพันธ์ทางโยคเกณ์อื่นๆ   และผลดีร้ายต่างๆของดาวเคราะห์เหล่านี้จะแสดงผลในการเสวยอายุและแทรกอายุของดาวเคราะห์นั้นๆ

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่ ผลดี-ร้ายของดาวเสวยอายุ(วิมโษตรีทศา) ของลัคนาราศีเมษ

**ข้อมูลเพิ่มเติมจากคัมภีร์ภวรรถรัตนากร-ราศีเมษ**

1.ความสัมพันธ์ระหว่างอาทิตย์-จันทร์ก่อให้เกิดราชาโยค

2.ดาวศุกร์ เป็นดาวมารการก

3.ดาวพฤหัสจะเป็นมารการกได้เช่นกัน หากสถิตในราศีมังกร

4.โยคสัมพันธ์ระหว่างเสาร์-พฤหัส จะไม่ก่อให้เป็นราชาโยค

5.บุคคลที่เกิดลัคนาราศีเมษ ให้ระวังเรื่องโรคไข้ทรพิษ บาดเจ็บจากอาวุธและถูกประทุษร้าย

6.หากดาวอังคารร่วมหรือเป็นโยคกับดาวพุธ จะเป็นเหตุให้ป่วยหรือตายด้วยโรคทางสมองในมหาทศาหรืออนุทศาของดาวทั้งสอง

7.ลักษณะพิเศษที่สุดของราศีเมษที่ไม่มีราศีใดเหมือนคือ เจ้าเรือนที่ 2 หากไปสถิตในเรือนที่ 12 จะกลายเป็นการให้ผลดี (คือดาวศุกร์ไปเป็นอุจน์ในราศีมีนเรือนที่ 12)

8.ดาวอังคารหากร่วมกับดาวศุกร์ จะส่งให้ทั้งผลดีและผลร้าย

9.หากดาวอังคารสถิตย์ร่วมกับดาวพฤหัสและดาวศุกร์ในราศีพฤษภ จะกลายเป็น โยคการก แต่หากเป็นราศีมิถุนจะไม่ก่อให้เกิดผลใดใด หรือดาวอังคาร่วมกับดาวพฤหัสในราศีกรกฏ จะกลายเป็น โยคการก

10.ดาวอังคารหากสถิตย์ในราศีสิงห์จะให้ผลดีในทศาอังคาร

11.ดาวพฤหัสหากสถิตย์ในราศีกุมภ์จะไม่ให้ผลดีใดใดในมหาทศาของพฤหัส

12.ดาวพุธร่วมอังคารในราศีกันย์ เจ้าชาตาจะ โรคผิวหนังเปื่อยพุพอง

13.เจ้าชาตาจะได้ทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่ง หากดาวอังคารร่วมศุกร์ในราศีตุลย์

14.ดาวอังคารร่วมอาทิตย์และศุกร์ในราศีพิจิก จะให้เจ้าชาตามีชื่อเสียง

15.โยคพิเศษจะเกิดขึ้นในดวงชาตาลัคนาราศีเมษ หากมี อังคาร อาทิตย์ และพฤหัสในราศีธนูและดาวศุกร์ร่วมเสาร์ในราศีตุลย์

16.ดาวศุกร์จะให้ผลราชาโยคให้กับลัคนาราศีเมษ หากสถิตร่วมอาทิตย์ในลัคนา และไม่ได้โยคใดใดจากดาวพฤหัส

17.ดาวอาทิตย์จะเป็นโยคการกให้กับราศีเมษหากสัมพันธ์กับดาวพฤหัส

18.ดาวอาทิตญ พุธ ศุกร์ ร่วมกันในราศีกุมภ์ก่อให้เกิดทรัพย์สินในทศาของดาวเคราะห์ดังกล่าว

19. หากดาวอาทิตย์ร่วมลัคนา ดาวจันทร์อยู่ราศีกรกฏ จะก่อให้เกิดราชาโยค

20.หากอาทิตย์ พฤหัส ศุกร์ ร่วมกันในราศีมังกร จะทำให้เจ้าชาตาได้ไปชำระปาปในแม่น้ำคงคา